โดยจะวางผังออกแบบอาคารในแนวทาง Green Design ที่อนุรักษ์พลังงาน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีสวนขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมส่วนหนึ่งไว้ ซึ่งใช้แนวคิดในการออกแบบโครงการที่เป็นเสน่ห์ของประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Landscape, พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นตามธรรมชาติ, Aboriginal Art ของชนเผ่าดั้งเดิมในพื้นที่ รวมถึง Landmark ของออสเตรเลีย ผนวกกับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ให้ออกมาเป็น Landmark ของถนนสาทร ให้สมกับราคาที่ดินมูลค่ากว่า 4,600 ล้านบาท
สำหรับห้องภายในโครงการจะตกแต่งให้แบบ Fully Fitted พร้อมระบบ Home Automation, Smart Kitchen, Intelligent Toilet, Digital Door Lock และ Double Glazing ภายในห้องนอนทุกห้อง คาดว่าทางโครงการจะแล้วเสร็จปี 2567 ค่ะ
คอนโด ศุภาลัย โซนสาทร โครงการที่น่าสนใจ…
คอนโด BTS ศาลาแดง / คอนโดติดรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง
คอนโดใกล้เคียง
คอนโด BTS ศาลาแดง (เชื่อมต่อ MRT สีลม)
คอนโด BTS ช่องนนทรี (เชื่อมต่อ BRT สาทร)
คอนโด BTS ราชดำริ
คอนโด MRT สามย่าน
คอนโด MRT ลุมพินี
:::: ที่ตั้งโครงการ ::::
พิกัด : 13°43’26.0″N 100°32’14.6″E
ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม.
แผนที่จากทางโครงการ Supalai ICON สาทร คอนโด High rise ระดับ Super Luxury Class โครงการที่แพงที่สุดจาก บมจ.ศุภาลัย บนที่ดินสถานทูตออสเตรเลียเก่า ทำเลทองย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ กับแนวคิดประเทศออสเตรเลีย ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี, รถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคต สถานีสวนพลู เดินทางได้สะดวกใกล้เส้นทางหลัก, ทางลัด และทางด่วนสายหลักอีก 2 สาย มีสาธาณูปโภคครบครันสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหาร, อาคารสำนักงานชั้นนำโซนสาทร – สีลม, โรงพยาบาล และสถานศึกษาหลายแห่ง
ทำเลที่ตั้ง โครงการ Supalai ICON สาทร ตั้งอยู่บนที่ดินของสถานทูตออสเตรเลียเก่า บนถนนสาทรฝั่งใต้ ซึ่งถือเป็นทำเลทองใจกลางย่านธุรกิจที่สำคัญอันดับต้นๆ เทียบแล้วก็เหมือนกับเป็นวอลล์สตรีทของกรุงเทพฯ เลยค่ะ อันเนื่องมาจากโซนนี้เป็นโซนที่มีความคึกคักเพราะมีผู้คนอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น รายล้อมด้วยออฟฟิศและอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของบริษัทชั้นนำต่างชาติ โรงแรมระดับห้าดาว สำนักงานใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ สถานฑูต สถาบันทางวัฒนธรรม ศูนย์การค้า โรงเรียนชั้นนำของประเทศ รวมถึงอาคารสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย
ถ้าพูดในแง่ของมูลค่าที่ดินแล้ว โซนสาทรนับว่าเป็นโซนที่มีราคาประเมินที่ดินสูงสุดในประเทศมานานแล้วค่ะ อย่างที่ดินของทางโครงการที่ทางศุภาลัยประมูลมาได้ ก็มีราคาสูงถึง 4,600 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นตารางวาละ 1.45 ล้านบาทเลยทีเดียว เพราะทำเลนี้ถือเป็น CBD ระดับ Prime อยู่แล้ว จึงเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อระดับ High Class มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อในแง่ของการลงทุน หรือการซื้อในแง่ของความสะดวกสบาย เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้แหล่งงานแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมไปถึงการเดินทางก็สามารถทำได้สะดวกไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยนต์ส่วนตัว หรือการใช้รถสาธารณะ เพราะอยู่ใกล้ทั้งรถไฟฟ้า, ท่าเรือ และทางด่วนอีกหลายจุดค่ะ
การเดินทางด้วยรถยนต์ ตัวโครงการตั้งอยู่ติดกับถนนสาทรใต้ช่วงตอนต้น ทำให้สะดวกสำหรับคนที่จะเดินทางไปทำงานในตัวเมืองสาทร และเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับทางกลับรถ ฉะนั้นจะกลับรถเข้าเมืองก็ไม่ยากค่ะ ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ช่วงตรงกลางระหว่าง ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ และ ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นถนน 2 เส้นที่สำคัญมากๆ เริ่มจาก ถนนพระราม 4 เป็นเส้นที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนวิทยุ, ถนนราชดำริ, ถนนอังรีดูนังต์ และถนนพญาไท ซึ่งเป็นถนนเส้นที่วิ่งคู่ขนานกัน มุ่งหน้าเชื่อมสู่ถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 1 (วิ่งคู่ขนานถนนพระราม 4) เข้าไปทางตัวเมืองได้สะดวก ซึ่งช่วงนั้นก็คือแถวๆ เพลินจิต, ชิดลม และสยามอยู่แล้วค่ะ จะวิ่งไปทางราชเทวีหรืออโศกก็ง่ายเลย ส่วนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นเส้นที่วิ่งตัดกับถนนสาทรใต้ สามารถใช้วิ่งเชื่อมขึ้นไปทางสีลมและถนนสุรวงค์ หรือลงไปเชื่อมกับถนนพระราม 3 ก็ได้ค่ะ
และตัวโครงการยังอยู่ติดกับถนนสวนพลู เป็นถนนเส้นที่สามารถใช้วิ่งไปเชื่อมกับ เส้นเย็นอากาศ, เส้นพระราม 4, ถนนจันทร์, ถนนนางลิ้นจี่ และถนนเจริญราษฎร์ อีกทั้งบนถนนสวนพลูจะมีซอยพระพินิจที่สามารถใช้เลี่ยงการจราจรบนถนนสาทรได้ดี โดยจะสามารถใช้วิ่งไปเชื่อมกับซอยนราธิวาส 7 ได้ด้วยนะ
นอกจากนี้ ตัวโครงการยังใกล้กับทางด่วนอีกหลายจุด ทั้งจุดขึ้น – ลงด่านสุรวงศ์, จุดขึ้น – ลงทางด่วนด่านสาทร, จุดขึ้น – ลงด่านเลียบแม่น้ำ, จุดขึ้น – ลงด่านสาธุประดิษฐ์, จุดขึ้นทางด่วนด่านเจริญราษฎร์ หรือจะขับไปขึ้นตรงด่านพระราม 4 ก็ได้ เลือกใช้กันได้ตามความสะดวก ระยะทางจากโครงการไปจุดขึ้นทางด่วน ทุกด่าน ประมาณ 2.5 – 6 กม.เท่านั้น
จากหน้าโครงการไปยัง จุดขึ้น – ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (พระราม 4 – คลองเตย) ระยะทางประมาณ 2.6 กม. ระยะเวลาในการเดินทางแล้วแต่ช่วงเวลานะคะ ถ้าในช่วง Rush Hour ก็อาจจะใช้เวลานานหน่อย สามารถใช้วิ่งขึ้นไปทางพหลโยธิน, วิภาวดี – รังสิต และแจ้งวัฒนะได้
หรือจุดที่จะไปทางบางนา – ชลบุรีก็มีระยะทางพอๆ กันค่ะ
จุดขึ้น – ลง ทางพิเศษศรีรัช (จันทน์ – เจริญราษฎร์) ระยะทางประมาณ 3 กม. ใช้มุ่งหน้าลงไปทางพระราม 2
และจากโครงการไปจุดขึ้นทางด่วนศรีรัช (สีลม – สาทร) มีระยะทางจากโครงการประมาณ 3.4 กม. ใช้ขึ้นไปทางงามวงศ์วานและปากเกร็ด
:: สรุปแยก และ ถนนสำคัญรอบโครงการ ::
ถนนสวนพลู : 210 ม.
ถนนพระราม 4 : 800 ม.
ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ : 900 ม.
ถนนสีลม :900 ม.
ถนนวิทยุ : 900 ม.
ถนนราชดำริ : 1.7 กม.
ถนนอังรีดูนังต์ : 2.1 กม.
ถนนเพลินจิต : 2.8 กม.
ถนนสุขุมวิท : 3.0 กม.
ถนนพระราม 1 : 3.4 กม.
แยกวิทยุ : 800 ม.
แยกสาทร – นราธิวาส : 850 ม.
แยกศาลาแดง : 1.5 กม.
แยกอังรีดูนังต์ : 2.1 กม.
การเดินทางด้วยรถสาธารณะ การคมนาคมด้วยรถสาธารณะในย่านนี้เรียกว่าสะดวกสบายตามฉบับใจกลางเมือง เพราะมีตัวเลือกมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า, รถเมล์, BRT, แท็กซี่, รถสองแถว, วินมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงท่าเรือก็มีให้เลือกใช้ตรงท่าเรือตากสิน ซึ่งมีทั้งเรือข้ามฟากและเรือด่วน หรือจะเรียกใช้ Grab Taxi หรือ Line Taxi ผ่าน Application ก็หารถง่ายค่ะ
สำหรับระบบราง ปัจจุบันตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินีมากที่สุด ในระยะเดินหรือนั่งวินมอเตอร์ไซค์จะอยู่ที่ 800 เมตรจากหน้าโครงการ นอกจากนี้ก็ยังสามารถไป BTS สถานีช่องนนทรีและสถานีศาลาแดงได้สะดวกเช่นกัน สามารถนั่งพี่วินไปไม่กี่นาทีก็ถึงค่ะ ในอนาคตบนเส้นสาทรเองก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเทาวิ่งผ่าน จากเส้นพระราม 4 ตัดเข้าสาทร และเส้นนราธิวาสฯ สถานีที่ใกล้ที่สุดก็คือสถานีสวนพลู เดินจากหน้าโครงการไปเพียง 200 เมตรเองนะ นับว่าสะดวกมากๆ เลย
ในปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีเทายังไม่สร้างนะคะ เพราะฉะนั้นที่อยู่ใกล้กับตัวโครงการมากที่สุดก็คือ MRT สถานีลุมพินี ถ้าเราเดินไปหรือนั่งพี่วินไปจากหน้าโครงการจะมีระยะประมาณ 800 เมตร แล้วลงที่ทางออก 2 ค่ะ แต่ถ้าใครที่นั่งรถส่วนตัวไป สามารถลัดเข้าถนนสวนพลูเข้าซอยสาทร 1 แยก 1 ไปออกตรงหน้า Life Center ก็ได้เช่นกัน อาจจะดูอ้อมกว่าแต่เส้นทางนี้ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่เร็วกว่าในเวลารถติดนะ
ส่วนสถานีช่องนนทรีก็อยู่ไม่ไกลค่ะ แต่เป็นระยะที่ต้องนั่งรถไปนะ
ความอุดมสมบูรณ์ สำหรับทำเลบนถนนสาทรนั้นถือว่าเป็นทำเลที่อุดมสมบูรณ์สูงมาก เพราะเป็นถึงย่านธุรกิจที่สำคัญอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ร้านอาหารหรูชื่อดัง ก็ถูกรวมเอาไว้อยู่ในทำเลนี้อยู่นานแล้ว ห้างใหญ่ๆ ที่ใกล้โครงการจะมี Life Center และ Silom Complex ถัดออกไปฝั่งพระราม 3 ก็จะมี Central พระราม 3, Tesco Lotus พระราม 3 และ The Up พระราม 3
นอกจากนั้นยังอยู่ไม่ไกลจาก Asiatique หรือขยับไปทางโซนพระราม 1 ก็ถึงสยามแล้วค่ะ ตรงนั้นมีห้างใหญ่ๆ มากมายทั้ง Siam Paragon, Siam One, Siam Center, Siam Discovery, MBK, Central World, Central ชิดลม และ Central Embassy จากโครงการประมาณ 5 กม. นั่งรถไฟฟ้าไปก็ได้สะดวกดีค่ะ หรือถ้าเข้าไปด้านในถนนสวนพลูจะมีร้านอาหารหลากหลายให้เลือก มีร้านกาแฟเก๋ๆ รวมถึง ร้านอาหารแบบ Street Food มีร้านสะดวกซื้อ รวมถึงแหล่ง Hang Out ก็มีให้เลือกเยอะมาก
หรับสำหรับคนที่เบื่อการเดินห้างสรรพค้าใหญ่ๆ หรือนั่งในคาเฟ่แล้ว ตัวเลือกที่ใกล้ชิดธรรมชาติใกล้โครงการก็มีนะคะ อย่างสวนลุมพินีที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ วิ่งรอบนึงได้ 2.5 กม.เลยนะ สามารถไปนั่งพักผ่อน วาดรูปวิวทิวทัศน์ เลี้ยงอาหารปลา พายเรือ ถีบเรือเป็ดในวันหยุดสั้นๆ แบบ One day trip หรือจะเป็นสวนพลูที่มีขนาดย่อมๆ ลงมาในซอยงามดูพลีก็ไปเดินออกกำลังกายกันได้
ส่วนโรงพยาบาลในระยะใกล้อุ่นใจจะมีทั้ง รพ.เลิดสิน, รพ.เซนต์หลุยส์, รพ.บีเอนเอช, รพ.กรุงเทพคริสเตียน และ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ระยะทางจากโครงการประมาณ 500 เมตร – 3 กม. เท่านั้นค่ะ
และสถานศึกษาโดยรอบของโซนนี้ เด่นๆ เลยจะเป็นโรงเรียนในเครืออัสสัมชัน ตั้งแต่อัสสัมชันประถม จนถึงอัสสัมชัญ พาณิชยการ และโรงเรียนดังๆ อื่นๆ ก็มีอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็น รร.กรุงเทพคริสเตียน, รร.เซนหลุยส์, รร.เซนต์โยเซฟคอนแวนต์, รร.สารสาสน์เอกตรา และ รร.สารสาสน์พิทยา ระดับอินเตอร์ก็มีนะคะ ใกล้ รร.นานาชาติโชรส์เบอรี่ กรุงเทพ และ รร.นานาชาติสาทรใหม่ (NSIS)
อีก Mega Project นึงที่จะเป็นตัวสร้างมูลค่าให้ทำเลนี้อีก 1 อย่างก็คือ One Bangkok จาก TCC บริเวณแยกถนนวิทยุ ตรงที่ดินสวนลุมไนท์บาซาร์เดิม ประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานที่ล้ำยุค โรงแรมหรูที่ตอบโจทย์ Lifestyle ร้านค้าและพื้นที่ทำกิจกรรม ที่หลากหลายครบครัน ที่พักอาศัยระดับ Ultra Luxury พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจมากมายหลายรูปแบบเพื่อการใช้ชีวิตของผู้คน พื้นที่ศิลปะและวัฒนธรรม รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งขนาดรวมกัน 50 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 104 ไร่ จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งงานใหม่อีกหนึ่งแห่งของอนาคต
:: สรุปสถานที่สำคัญรอบโครงการ ::
ห้างสรรพสินค้า
Bangkok City Tower : 750 ม.
Empire Tower : 1.3 กม.
สาทรธานีคอมเพล็กซ์ : 1.3 กม.
สาทรสแควร์ : 1.5 กม.
Mahanakhon Pavilion : 1.7 กม.
Makro สาทร : 2.6 กม.
สีลม คอมเพล็กซ์ : 2.7 กม.
จามจุรี สแควร์ : 2.7 กม.
ธนิยะพลาซ่า : 2.8 กม.
Too Fast To Sleep : 2.9 กม.
The Up พระราม 3 : 3.3 กม.
Tesco Lotus พระราม 3 : 3.4 กม.
Central Embassy : 3.5 กม.
MBK Center : 3.7 กม.
Central ชิดลม : 3.8 กม.
Grand Hyatt Erawan Bangkok : 3.9 กม.
Central World : 4.2 กม.
Amarin Plaza : 4.2 กม.
Gaysorn Plaza : 4.3 กม.
Siam Square One : 4.3 กม.
Central Plaza พระราม 3 : 4.5 กม.
Siam Paragon : 4.5 กม.
Siam Center : 4.6 กม.
Siam Discovery : 4.6 กม.
โรงภาพยนตร์ สกาล่า : 4.7 กม.
Robinson สุขุมวิท : 5.8 กม.
Terminal 21 : 6.1 กม.
สถานศึกษา
ร.ร.เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ : 550 ม.
นานาชาติ St.Andrews : 650 ม.
ร.ร.เซนต์หลุยส์ศึกษา : 1.6 กม.
ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย : 1.8 กม
นานาชาติเครซเซนต์ : 2 กม.
ร.ร.อัสสัมชัญคอนแวนต์ : 2 กม.
ร.ร.อัสสัมชัญคอนแวนต์ สีลม : 2 กม.
นานาชาติการ์เด้น : 2.3 กม.
ร.ร.นนทรีวิทยา : 2.7 กม.
ร.ร.อัสสัมชัญศึกษา : 2.8 กม.
ร.ร.อัสสัมชัญบางรัก : 3 กม.
ร.ร.สาธิต จุฬาฯ : 3 กม.
ร.ร.สาธิต มศว.ปทุมวัน : 3.6 กม.
นานาชาติสาทรใหม่ : 3.7 กม.
นานาชาติโชรส์เบอรี่ : 3.8 กม.
ร.ร.พระหฤทัยคอนแวนต์ : 3.8 กม.
ร.ร.เซนต์โยเซฟยานนาวา : 3.8 กม.
ร.ร.มาแตร์ เดอี วิทยาลัย : 4 กม.
ร.ร.สารสาสน์เอกตรา : 4.5 กม.
ร.ร.สารสาสน์พิทยา : 4.5 กม.
ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา : 4.6 กม.
ศูนย์การแพทย์
รพ.บีเอนเอช : 450 ม.
รพ.เซนต์หลุยส์ : 1.5 กม.
รพ.กรุงเทพคริสเตียน : 2.4 กม.
รพ.จุฬา ฯ : 2.7 กม.
สถานเสาวภา สภากาชาดไทย : 2.7 กม.
รพ.เลิดสิน : 3.1 กม.
อื่นๆ
สวนลุมพินี : 1.2 กม.
ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ : 3.7 กม.
สวนเบญจกิตติ : 3.9 กม.
สนามกีฬาแห่งชาติ : 4.3 กม.
สถานที่ราชการและอาคารสำนักงาน
UOB Tower : 450 กม.
Q House คอนแวนต์ : 500 ม.
อาคารหะรินธร : 550 ม.
อาคารไทวา 1 : 550 ม.
อาคารกรุงเทพประกันภัย สาทร : 650 ม.
สาธร ซิตี้ ทาวน์เวอร์ : 650 ม.
Empire Tower : 900 กม.
TISCO Tower : 900 ม.
Smooth Life Tower : 1 กม.
สาทรธานี คอมเพล็กซ์ : 1 กม.
กรมการบินพลเรือน : 1.1 กม.
Q House ลุมพินี : 1.1 กม.
อาคารอื้อจือเหลียง : 1.1 กม.
อาคารอับดุลราฮิม : 1.1 กม.
อาคาร AIA สาทร : 2กม.
โรงงานยาสูบ : 2.5 กม.
ลุมพินี ทาวน์เวอร์ : 3 กม.
FYI Center : 3.4 กม.
หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ (bacc) : 4.8 กม.
หัวลำโพง (สถานีรถไฟกรุงเทพฯ) : 4.9 กม.
:::: การเดินทางสู่โครงการ ::::
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo มีภาพการเดินทางไปสู่ตัวโครงการโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวมาฝากกันค่ะ โดยเราจะเริ่มการเดินทางจาก
ถนนเพลินจิต > ถนนวิทยุ > ถนนสาทรใต้ > Supalai ICON สาทร
เริ่มต้นการเดินทางจากถนนเพลินจิตตรง BTS เพลินจิตมุ่งหน้าไปทางราชประสงค์กันค่ะ
จากนั้นให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิทยุ สังเกตจะมีป้ายบอกทางก่อนถึงแยกค่ะ
พอเราเข้ามาภายในถนนวิทยุแล้วให้เราขับตรงไปเรื่อยๆ จนถึงแยกวิทยุเลยค่ะ ระหว่างทางเราจะผ่าน All Season Places
สถานทูตสหรัฐอเมริกา
สถานทูตญี่ปุ่น และโครงการ One Bangkok ตรงลุมพินี ไนท์บาซาร์เก่า ทั้งหมดนี้จะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือนะคะ
เราขับตรงมาเรื่อยๆ จนถึงแยกวิทยุ ด้านหน้าเราตรงถนนสาทรใต้จะเห็นอาคาร Life Center อยู่ข้างหน้าเราเลยค่ะ ตรงทางเข้าอาคารจะมีทางออกรถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี เป็นทางออก 2 ค่ะ
จากแยกวิทยุให้เราขับตรงเข้าถนนสาทรใต้ พอเราขับผ่านโรงแรม Banyan Tree Bangkok ทางฝั่งซ้ายมือแล้วแล้วก็ให้ชิดซ้ายเลยนะ ตัวโครงการจะอยู่ถัดไปอีก 190 เมตรข้างหน้า
เราขับมาอีก 190 เมตรก็จะถึงตัวโครงการแล้วค่า
ปัจจุบันสำนักงานขายของโครงการก็ได้เปิดให้ทุกท่านได้เยี่ยมชมแล้ว สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายเพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมและชมห้องตัวอย่างได้เลยค่ะ
:::: สภาพแวดล้อมรอบโครงการ ::::
บริบทโดยรอบตัวโครงการจะเป็นตึกสูงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น อาคารสำนักงาน โรงแรม หรือ คอนโดมิเนียม แต่โดยส่วนมากจะสูงน้อยกว่าตัวโครงการทั้งนั้นเลย ที่เหลือใกล้เคียงกันก็ยังมีบ้านพักอาศัยดั้งเดิมในแนวราบ และอาคารพาณิชย์ด้วยค่ะ
ทิศเหนือ ติดกับ ติดกับถนนสาทรใต้
ทิศใต้ ติดกับ บ้านแนวราบและสถานฑูตมาเลเซีย
ทิศตะวันออก ติดกับ ติดกับอาคารสูง 41 – 60 ชั้น ฝั่งตรงข้ามถนนสาทรจะเป็นอาคารสำนักงานสูง 16 – 32 ชั้น
ทิศตะวันตก ติดกับ ติดกับอาคารสูง 13 – 32 ชั้น
ด้านหลังสำนักงานขายก็คือที่ดินของโครงการนั่นเองค่ะ
ทางฝั่งทิศใต้ในระยะประชิดจะไม่มีตึกสูงมาบังวิวเลยนะคะ ใกล้ๆ จะเป็นบ้านพักอาศัยในแนวราบและสถานฑูตมาเลเซีย แต่ในระยะห่างออกไปจะมีคอนโดสูง 29 ชั้น ที่อาจจะบังวิวบ้างเล็กน้อย แต่แน่นอนเลยว่าชั้นสูงๆ ขึ้นไปจะเห็นวิวแม่น้ำและวิวบางกะเจ้าด้วย
ทางทิศตะวันออกติดกับอาคารสูง 41 – 60 ชั้น ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ในระยะประชิดนะคะ ยังคงได้วิวกันอยู่ ส่วนชั้นสูงๆ น่าจะได้วิวของสวนลุมพินีด้วยนะ
ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับอาคารสูง 13 – 32 ชั้น ชั้นสูงๆ จะสามารถมองเห็นวิวเมืองฝั่งสาทรและแม่น้ำเจ้าพระยาได้แบบไกลๆ
คราวนี้เรามาเดินดูบริบทโดยรอบโครงการด้วยกันเลยค่ะว่าบนเส้นถนนสาทรใต้จะมีบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มจากด้านหน้าโครงการเป็นฝั่งทิศเหนือติดถนนสาทรฝั่งใต้ ตรงข้ามเป็นอาคารสำนักงานสูง 18 – 21 ชั้น แต่จะเห็นว่ายังมีช่องตรงกลางให้มองผ่านตึกเหล่านี้ไปได้ทำให้ Take View ได้ไกลขึ้น
เราจะเดินไปสำรวจฝั่งทางขวาของตัวโครงการกันก่อน บนถนนสาทรนับว่ามีข้อดีตรงที่ทางเท้าค่อนข้างกว้างทีเดียวค่ะ สามารถเดินได้อย่างปลอดภัยยกเว้นเวลาที่มีรถมอเตอร์ไซค์แอบขับขึ้นมา
ติดกับตัวโครงการเลยก็คือสถานทูตมาเลเซียค่ะ นอกจากนี้ตรงนี้ก็ยังเป็นทางเข้าของคอนโด Sathorn Garden ด้วย
ถัดมาก็คือโรงแรม Embassy ซึ่งที่ด้านใต้ของโรงแรมก็จะมีร้านอาหารคลีนราคาสบายกระเป๋าและเซเว่นอยู่ 1 สาขา เดินมาได้ใกล้โครงการมากค่ะ 40 เมตรเท่านั้นเอง ซึ่งข้างๆ เซเว่นจะมีวินมอไซค์ตั้งอยู่อีกด้วย นั่งไปลง BTS หรือ MRT สะดวกเลย
เราเลยมาอีกหน่อยก็จะเป็นอาคาร THAI WAH และโรงแรม Banyan Tree หากใครอยากจะลองสัมผัสว่าโครงการ Supalai ICON สาทร จะได้วิวทิวทัศน์แบบไหน ให้เราลองขึ้นไปทานอาหารหรือดื่ม Cocktails ที่ร้านอาหาร Vertigo TOO ที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมดูได้นะคะ
ภาพรวมของทำเลนี้ก็คืออาคารสำนักงานขนาดใหญ่ เรียงไปตลอดเส้นถนนสาทรทั้ง 2 ฝั่งเลยค่ะ ถ้าเราเดินตรงไปเรื่อยๆ นับจากหน้าโครงการไปอีก 800 เมตรก็จะถึง MRT สถานีลุมพินีที่ทางออก 2 แล้ว ตรงนั้นก็จะมีคิววินมอเตอร์ไซค์อีก 1 จุด สามารถนั่งมอเตอร์ไซค์จากตรงนั้นกลับโครงการได้เช่นกัน
เรากลับมาที่หน้าโครงการ เราจะเดินไปสำรวจทางฝั่งซ้ายมือของโครงการกันต่อ
ติดกับรั้วโครงการตรงหัวมุมจะมีร้านกาแฟและป้ายรถเมล์อยู่ด้วย (ป้ายสถานฑูตออสเตรเลีย) จึงสะดวกมากสำหรับการเรียกรถสาธารณะ ทั้งรถเมล์ รถแท็กซี่ และรถสองแถว
ติดกันเลยคือปั๊ม Shell ค่ะ แค่ขับออกจากโครงการแล้วเลี้ยวเข้ามาเติมน้ำมันก่อนออกไปวิ่งไกลๆ ได้สะดวกมาก
ซึ่งด้านในปั๊ม Shell ก็มี Family Mart เป็นร้านสะดวกซื้อให้เลือกอีก 1 สาขา
ถัดจากปั๊ม Shell มาจะเป็นทางเข้าถนนสวนพลูค่ะ ถนนเส้นนี้สามารถใช้ลัดไปยังเส้นพระราม 3, พระราม 4 ได้ หรือจะใช้ลัดวนไปที่ Life Center ตามที่กล่าวไว้ข้างบนก็ได้เหมือนกันนะ
ภายในถนนสวนพลูนับว่าเป็นทำเลใกล้ๆ ที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ภายในมีทั้ง ที่อยู่อาศัยดั้งเดิม คอนโดมิเนียม โรงแรม อาคารพาณิชย์ และอาคารสำนักงานอยู่เต็มไปหมด เรื่องร้านอาหาร คาเฟ่ หรือร้านสังสรรค์ตอนกลางคืนก็มีมากมายหลายร้าน ถ้าเข้าไปด้านในสุดก็จะมีสวนพลูที่เป็นสวนสาธารณะด้วยนะคะ
จากมุมนี้เรามองออกไปไกลๆ จะเห็นอาคารสำนักงานมากมาย รพ.บีเอนเอช รวมถึงอาคารมหานครด้วยนะ
เราเดินข้ามถนนสวนพลูมาอีกฝั่งจะมีร้านอาหารไทยชื่อบ้านขนิษฐา เป็นร้านชื่อดังเลยนะคะ ข้าวแช่ของเขาก็ขึ้นชื่ออยู่นะ อากาศร้อนๆ แบบนี้ทานข้าวแช่เหมาะมาก จากโครงการเดินมาแค่ 150 เมตรเท่านั้นเอง
นอกจากอาหารไทยแล้ว ในบริเวณเดียวกันก็มีร้าน The Missing Piece เป็นคาเฟ่ที่ขายทั้งกาแฟ ขนมเค้ก และเซ็ทอาหารเช้าง่ายๆ
มองไปข้างหน้า บริบทโดยรวมทางฝั่งสาทรก็จะเป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ เรียงไปตลอดเส้นถนนสาทรทั้ง 2 ฝั่งเลย
:::: ตัวโครงการ ::::
Supalai ICON สาทร ตั้งอยู่บนถนนสาทร บนที่ดินของสถานทูตออสเตรเลียเก่าที่ทางศุภาลัยสามารถประมูลมาได้ ซึ่งมีมูลค่าที่ดินกว่า 4,600 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นตารางวาละ 1.45 ล้านบาท ซึ่งนับว่าหายากมากจริงๆ สำหรับที่ดินผืนใหญ่ๆ แบบนี้บนทำเลสาทร
ด้วยมูลค่าที่ดินที่สูงลิบ จึงออกแบบโครงการให้เป็นแบบ Mix – used ประกอบด้วย อาคารสำนักงานให้เช่า ร้านค้าบริเวณด้านหน้า และอาคารชุดพักอาศัย ซึ่งเป็น High rise Condominium ระดับ Super Luxury Class มีจำนวน 1 อาคาร สูง 56 ชั้น บนเนื้อที่ 7 – 3 – 82 ไร่ กับห้องพักอาศัยจำนวน 787 ยูนิต มีห้องให้เลือกแบบ 1 – 4 Bedroom ขนาด 42 – 350 ตร.ม. และ Super Penthouse ขนาด 970 ตร.ม.
และมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการรองรับการอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่อย่างลงตัว ประกอบด้วย Lobby, 2 Swimming Pools, Roof Garden, Fitness, Aerobic & Yoga, Yoga Fly, Boxing, Mini Climbing Simulation, Group Cycling, Table tennis Room, Kid’s Room, Playground, Hydrotherapy, Sauna & Steam, Co – living Space, Movie Club, Board Room, Sky Lounge (ชั้น 53, 54), EV Charger, Passenger Lift 8 ตัว, Service Lift 2 ตัว, Parking Lift 2 ตัว และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
โดยจะวางผังออกแบบอาคารเป็นรูปตัว T ในแนวทาง Green Design ที่อนุรักษ์พลังงาน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีสวนขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมส่วนหนึ่งไว้ อีกทั้งยังคำนึงถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างเคียง ให้ได้รับผลกระทบจากตัวโครงการน้อยที่สุด โดยเลือกที่จะเอาด้านสวยๆ ของโครงการ อย่างฝั่งที่มี Facilities ออกไปให้เป็นวิวของอาคารโดยรอบด้วย แต่ก็ยังคงความเป็นส่วนตัวเพราะมีระยะที่ห่างจากอาคารอื่นอยู่มาก นอกจากนี้ก็ยังวางผังอาคารให้ได้รับผลกระทบจากอาคารข้างเคียงน้อยที่สุด และได้รับวิวเยอะมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อีกเช่นกัน
และมีการใช้แนวคิดในการออกแบบโครงการที่เป็นเสน่ห์ของประเทศ “ออสเตรเลีย” ตามจุดเด่นที่ว่าแต่เดิมตรงนี้เคยเป็นสถานทูตออสเตรเลียมาก่อน สิ่งที่หยิบมาใช้ก็จะเป็นเรื่องของ Landscape, พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นตามธรรมชาติ เช่น จิงโจ้ หรือ โคอาล่า, ลวดลายของ Aboriginal Art ของชนเผ่าดั้งเดิมในประเทศออสเตรเลีย รวมถึง Sydney Harbour Bridge และ Opera House ซึ่งถือเป็น Landmark ที่โดดเด่นที่สุดของออสเตรเลีย ให้โครงการออกมาเป็น Landmark ของถนนสาทร ผนวกกับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ให้สมกับราคาที่ดินมูลค่ากว่า 4,600 ล้านบาทค่ะ
เรามาดูรูปด้านของอาคารกันค่ะ รูปซ้ายมือคือฝั่งทิศเหนือ ด้านหน้าของโครงการจะเป็นร้านค้ากับพื้นที่สำนักงานให้เช่า ฝั่งนี้จะอยู่ติดกับถนนสาทรใต้ ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะไม่ค่อยมีตึกสูงบังมากนัก สามารถมองไปได้ไกล เห็นวิวฝั่งสีลมได้ ส่วนรูปขวามือคือฝั่งทิศใต้ เป็นส่วนของอาคารจอดรถสูง 10 ชั้น ฝั่งนี้จะอยู่ติดกับบ้านพักอาศัยในแนวราบและสถานฑูตมาเลเซีย ห่างออกไปจะมีคอนโดสูง 29 ชั้น ชั้นสูงๆ จะเห็นวิวแม่น้ำและวิวบางกะเจ้าค่ะ
ฝั่งทิศตะวันตก เป็นฝั่งที่ติดกับอาคารสูง 13 – 32 ชั้น และชั้นสูงๆ จะสามารถมองเห็นวิวเมืองฝั่งสาทรและแม่น้ำเจ้าพระยาได้แบบไกลๆ
ฝั่งทิศตะวันออก ติดกับอาคารสูง 41 – 60 ชั้น ซึ่งไม่ได้อยู่ในระยะประชิดขนาดทำให้บังวิวนะ แต่ชั้นสูงๆ ของอาคารอาจจะสามารถเห็นวิวสวนลุมได้อยู่
ภาพนี้ผู้เขียนได้ทำกราฟฟิกแบ่งส่วนของตัวโครงการให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นค่ะ ตั้งแต่ชั้น 1 เป็นส่วนของ Lobby ข้ามไปที่ชั้น 11 เป็นส่วนของ Facilities ทั้งชั้น ส่วนชั้นพักอาศัยเริ่มต้นที่ชั้น 12 จนไปถึงชั้นบนสุดเลย ซึ่งทางโครงการมีห้องอยู่ 3 รูปแบบนะคะ คือแบบ Simplex อยู่ที่ชั้น 12 – 46, แบบ Duplex อยู่ที่ชั้น 47 – 54 และ Super Penthouse ที่อยู่ชั้น 55 – 56 เป็นชั้นบนสุดของอาคาร นอกจากนี้ที่ชั้น 53 – 54 ยังมี Opal Lounge เป็น Facilities อีก 1 จุดด้วยค่ะ ส่วนอาคารจอดรถอยู่ที่ชั้น 1 – 10 รวมทั้งหมดแล้วมีที่จอดรถ 67% ของยูนิตพักอาศัยค่ะ
คราวนี้เรามาดูผังของโครงการกันบ้างค่ะ ที่ดินของสถานทูตออสเตรเลีย มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้ากว้าง 70 เมตร และลึกเข้าไปประมาณ 160 เมตรแบบนี้ ทางเข้า – ออกของโครงการหลักเลยจะอยู่บนถนนสาทรใต้ ซึ่งวนเข้ามาผ่านด้านหน้าอาคารสำนักงานก่อน และใช้ถนนภายในโครงการฝั่งขวาเข้าสู่ภายในโครงการและอาคารจอดรถ โดยขนาดของถนนภายในโครงการจะมีขนาดใหญ่ รถสามารถขับสวนกันได้ 2 เลนค่ะ ด้านหลังของโครงการจะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งออกแบบโดย The Beaumont Partnership ตามแนวคิด Rain Forest ในออสเตรเลีย รวมถึง Lighting ที่ให้ทั้งความสวยงามและความปลอดภัยในเวลากลางคืนที่ออกแบบโดย Lightbox
มาดูที่ตัวโมเดลเพื่อความเข้าใจกันก่อนค่ะ ทางเข้า – ออกของโครงการจะอยู่บนถนนสาทรใต้ จากทางเข้าเลี้ยวขวาเข้ามาผ่านด้านหน้าอาคารสำนักงาน สามารถ Drop ผู้โดยสารลงตรงจุดนี้ได้แล้ววนออก หรือจะเลี้ยวเข้าถนนภายในโครงการทางฝั่งขวา ตรงเข้าไปก็จะมีจุด Drop – off อีกค่ะ สังเกตเห็นได้ว่าโดยรอบโครงการจะมีการจัด Landscape อย่างสวยงาม มีการใช้ Sculpture รูปสัตว์ของออสเตรเลียในการตกแต่ง หรือแม้แต่ลวดลายบนพื้นถนนก็ยังถอดมาจาก Aboriginal Art ของชนเผ่าดั้งเดิมในออสเตรเลียด้วย
พอเลี้ยวเข้ามาที่ถนนภายในโครงการ จะมีจุดที่สามารถ Drop – Off ได้อีก 1 จุดตรง Building Entrance ซึ่งทางเข้าตรงนี้จะเป็นทางเข้าของอาคารสำนักงาน แต่ภายในสามารถเดินเชื่อมต่อไปยัง Lobby ของส่วน Residential ได้ค่ะ เลยจากส่วน Drop – off มาจะมีทางเข้า Lobby ของคอนโดมิเนียมอยู่ข้างๆ กับทางเข้าอาคารจอดรถค่ะ ทางเข้าของอาคารจอดรถจะใช้ร่วมกันระหว่างคนจากอาคารสำนักงานและลูกบ้านของโครงการเอง แต่ภายในจะมี Gate แยกอย่างเป็นสัดส่วน ไม่ใช้ปะปนกันค่ะ
บริเวณด้านหลังของโครงการจะมีที่จอดรถภายนอกอาคารอยู่ส่วนนึง ซึ่งอยู่ติดกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สวนนี้เป็นสวนที่ทั้งลูกบ้านของโครงการและคนจากอาคารสำนักงานสามารถมาใช้งานร่วมกันได้
คราวนี้เรามาดูภาพบรรยากาศจำลองของโครงการเพื่อให้เห็นบรรยากาศเสมือนจริงกันบ้าง ภาพแรกเป็นทางเข้า – ออกโครงการ มุมเดียวกับตัวโมเดลเมื่อสักครู่เลย
ภาพบรรยกาศจำลองด้านหน้าโครงการตกแต่ง Landscape อย่างสวยงามด้วยพรรณไม้ที่ใกล้เคียงกับประเทศออสเตรเลีย และใช้ Sculpture รูปจิงโจ้ ซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศออสเตรเลียด้วย
ภาพบรรยกาศจำลองภายในสวนสาธารณะด้านหลังโครงการ ซึ่งถูกจำลองให้เป็นสวนแบบ Rain Forest มีต้นไม้ที่ร่มรื่น มีบ่อน้ำพุ และ Pavilion สำหรับนั่งเล่นพักผ่อนได้ ซึ่งต้องการให้มีบรรยากาศเหมือนป่าในประเทศออสเตรเลีย จึงตกแต่งด้วย Sculpture รูปนกอีมูและสัตว์พื้นถิ่นของประเทศออสเตรเลียค่ะ
ภาพบรรยกาศจำลองภายในสวน Rain Forest ด้านหลังโครงการ เป็นมุมเดียวกับรูปที่ผ่านมาแต่จำลองภาพให้เป็นเวลากลางคืน ซึ่งภายในสวนมีการออกแบบ Lighting เอาไว้อย่างสวยงามให้ได้ Effect เหมือนมีแสงจันทน์สาดส่องลงมาในสวน รวมถึงตรงน้ำพุก็ออกแบบไฟ LED ให้เหมือนกับเป็นจุดกำเนิดของแสง ซึ่งรับรองว่าได้ทั้งในแง่ของการใช้งาน ความปลอดภัย และความสวยงาม
ภาพบรรยกาศจำลองภายในสวน Rain Forest อีก 1 มุม มีการใช้พวกต้นปาล์มและเฟิร์นในการตกแต่งสวนซึ่งเป็นพรรณไม้ที่สามารถพบได้มากในประเทศออสเตรเลียค่ะ
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Dynamic Lobby เน้นตกแต่งแนว Gallery Hall โดยใช้ Perforated Wall กับสีสันโทน Copper ซึ่งเป็นแร่ที่สามารถพบได้มากในออสเตรเลีย ผนังลายไม้โอ๊ค สีฟ้า – น้ำเงินก็ดึงมาจากสีของน้ำทะเลที่ล้อมรอบประเทศออสเตรเลียเอาไว้ ทั้งหมดนี้ตั้งลงบนพื้นลายหินอ่อนสีครีมที่มีลวดลายสีดำ
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Lobby อีก 1 มุม ภายในมีการจัดชุดโซฟาเอาไว้หลายชุดสำหรับการรับรอง พักคอย และนั่งพักผ่อน สังเกตด้านซ้ายมือตรงกลางโถงตกแต่งด้วยบ่อน้ำล้น ได้เสียงน้ำไหลในการสร้างบรรยากาศ และที่กระจกด้านหลังจะมีประตูทางเข้าหลักของ Lobby ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ข้างๆ กับทางเข้า Parking เวลาเรามองออกไปก็จะได้วิวของ Landscape ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าโครงการ เข้ามาตามถนน จนไปถึงสวน Rain Forest ด้านหลังโครงการ
คราวนี้เราขึ้นมาที่ชั้น 11 ซึ่งเป็นส่วนของ Facilities หลักๆ ของโครงการ ประกอบด้วย 2 Swimming Pools, Fitness, Aerobic & Yoga, Yoga Fly, Boxing, Mini Climbing Simulation, Group Cycling, Table tennis Room, Kid’s Room, Playground, Hydrotherapy, Sauna & Steam, Co – living Space, Movie Club และ Board Room เรียกว่าให้มาแบบจัดเต็มเลยทีเดียว
มาดูที่โมเดลกันต่อค่ะ Facilities จะอยู่บนอาคารจอดรถฝั่งด้านหลังของโครงการ ส่วน Outdoor หลักๆ เลยก็จะมีสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ 2 สระ มี Pool Deck ขนาดใหญ่ สระเด็ก และจากุซซี่ ซึ่งออกแบบองค์รวมทั้งหมดให้เป็นเหมือนกับหาดทรายและทะเล ดึงจุดเด่นของออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลทั้งหมด ซึ่งมีทะเลกับชายหาดที่สวยงามมาก
ส่วน Indoor ก็จะมี Fitness, Aerobic & Yoga, Yoga Fly, Boxing, Mini Climbing Simulation, Group Cycling, Table tennis Room, Kid’s Room, Playground, Hydrotherapy, Sauna & Steam, Co – living Space, Movie Club และ Board Room ในส่วนนี้เราจะยังไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนจาก Plan หรือตัวโมเดลนะคะ
ภาพบรรยากาศจำลอง Facilities ชั้นที่ 11 บนอาคารจอดรถส่วน Outdoor บรรยากาศถูกจำลองให้เป็นเหมือนกับหาดทรายและทะเลของประเทศออสเตรเลีย ซึ่ง Pool Deck ของสระว่ายน้ำได้ถูกออกแบบให้มีองศาเอียงลงไปทางสระว่ายน้ำให้เหมือนกับชายหาดจริงๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ การออกแบบ Lighting ในส่วนนี้ก็มีความน่าสนใจทีเดียว อย่างในสระว่ายน้ำก็จะมีการใช้ Lighting ให้เหมือนกับเป็นเงาสะท้อนจากดวงดาวในยามค่ำคืน
มาดูภาพบรรยากาศจำลอง Facilities ในส่วน Indoor กันบ้างค่ะ ส่วนนี้จะเป็น Fitness ซึ่งภายในประกอบด้วยโซน Cardio, Weight Training, Aerobic & Yoga, Yoga Fly และ Boxing โดย Fitness จะเป็นส่วนที่หันหน้าออกมาทางสระว่ายน้ำและสวนส่วนกลางให้ Take View ได้
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Hydrotherapy มีการออกแบบให้สามารถใช้น้ำในการนวดบำบัดได้จริงๆ สังเกตการออกแบบพื้นที่ภายในห้องนี้จะใช้ผนังและฝ้าเพดานเป็นสีดำทั้งหมด และออกแบบ Lighting ให้เหมือนท้องฟ้าในเวลากลางคืนที่สามารถเห็นดวงดาวได้อย่างชัดเจน ตามจุดเด่นของออสเตรเลียซึ่งมี The Darkest Sky สามารถเห็นดวงดาวได้ชัดเจนที่สุด
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Kid’s Room ออกแบบด้วยสีแบบ Monotone เหมือนท้องฟ้าของประเทศออสเตรเลีย และตัดด้วยสีของต้นไม้ และใช้รูปทรงที่ลดทอนมาจากต้นไม้ ให้เหมือนกำลังวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
ภาพบรรยกาศจำลองภายใน Library และ Co – living Space เน้นสีสันจาก ดินดาน, Copper, Oak, Grapes, Red Wine และ White Wine มาเล่นกับ Finishing และ Furniture ภายในเป็นพื้นที่ที่สามารถ ใช้นั่งอ่านหนังสือ นั่งทำงาน หรือพบปะพูดคุยกันภายใน ออกแบบ Space ให้โปร่ง ฝ้าเพดานสูงทำให้รู้สึกอยู่สบาย สร้างบรรยากาศแบบ Homy Environment
ภาพบรรยกาศจำลองภายใน Movie Club เป็นส่วนที่ลูกบ้านสามารถดูหนังแบบ Public แชร์กับลูกบ้านคนอื่นๆ หรือจะจองใช้งานแบบ Private เฉพาะคนในครอบครัวก็ได้ สังเกตที่พื้นใช้ลวดลายจากวงไม้โอ๊ค รวมถึงฝ้าเพดานก็ตกแต่งแบบ Night Sky เล่น Lighting ดวงดาวในตอนกลางคืน
ตั้งแต่ชั้น 12 เป็นต้นไปจะเป็นส่วนของห้องพักอาศัยทั้งหมด เฉพาะส่วน Tower ที่เป็น Residential Building มีการออกแบบรูปทรงอาคารเป็นรูปตัว T วางโถงทางเดินแบบ Double Corridor โดยจะมีช่องแสงอยู่ที่ปลายโถงทั้ง 2 ฝั่ง แม้ว่าจะเป็นโถงแบบ Double Corridor แต่ทางโครงการก็มีการจัดวางให้ประตูห้องพักแต่ละห้องเปิดออกมาไม่ชนกัน เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านค่ะ ที่ชั้นนี้จะมีห้องขนาดตั้งแต่ 1 Bed ไปจนถึง 3 Bed เลย รวมทั้งหมด 17 ยูนิต/ชั้น
ตั้งแต่ชั้นที่ 20 จะไม่มีส่วนของอาคารสำนักงานแล้ว เหลือแต่ตัว Tower ของ Residential Building อย่างเดียว ที่ชั้นนี้จะมีจำนวนยูนิตสูงสุดทั้งหมด 24 ห้อง/ชั้น ประกอบด้วยห้อง 1 Bed – 3 Bed เหมือนเดิม
ชั้นที่ 31 – 38 จะไม่แตกต่างจากชั้นที่แล้วมากค่ะ แต่จะมีจำนวนห้องลดลงเหลือ 23 ห้อง/ชั้น เนื่องจากมีการรวมห้อง 1 Bed 2 ห้องตรงมุมขาตัว T ฝั่งซ้ายให้กลายเป็นห้อง 2 Bed
ชั้นที่ 39 จะเหลือจำนวนห้องพักอาศัยอยู่ที่ 21 ห้อง/ชั้น เนื่องจากมีการปรับพื้นที่บางส่วนให้กลายเป็นสวนลอยฟ้า ที่ลูกบ้านสามารถออกไปใช้นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้
ชั้นที่ 40 – 42 มีการจัดวางแปลนและมีจำนวนห้องพักอาศัยเท่ากับชั้น 39 เลยค่ะ เพียงแต่ว่าจะตัดส่วนที่เป็นพื้นที่สวนออกไปเท่านั้น
ชั้นที่ 43 ได้มีการแบ่งพื้นที่บางส่วนให้กลายเป็นส่วนลอยฟ้าเช่นเดียวกันกับชั้นที่ 39 และเหลือจำนวนห้องพักอาศัยอยู่ที่ 19 ห้อง/ชั้น
ชั้นที่ 44 – 46 มีห้องพักอาศัยอยู่ที่ 19 ห้อง/ชั้น เช่นเดียวกันกับชั้น 43 แต่ตัดพื้นที่ส่วนที่เป็นสวนออกเหมือนเดิม
ตั้งแต่ชั้นที่ 47 – 48 เป็นต้นไป ห้องพักอาศัยจะกลายเป็นแบบ Duplex ทั้งหมดค่ะ ซึ่งจะมีทั้งหมด 12 ยูนิต มีเฉพาะห้องพักขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3 – 4 Bed สังเกตสวนฝั่งขวาจะเป็นสวนลอยฟ้าที่ลูกบ้านทุกคนออกไปใช้งานได้ แต่สวนฝั่งซ้ายจะเป็น Private Garden ของห้องมุมเท่านั้นนะ
ชั้น 49 – 50 มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 12 ยูนิต เช่นกัน แต่จะแตกต่างจากชั้นที่แล้วตรงที่ไม่มีสวนสวนลอยฟ้าค่ะ
ชั้น 51 – 52 มีจำนวนห้องพักทั้งหมด 12 ยูนิต เช่นกัน แต่ห้องมุมซ้ายล่างจะได้ส่วน Private Garden มาด้วย
ชั้น 53 – 54 พื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นนี้จะถูกแบ่งออกเป็น Facility ที่อยู่ชั้นเกือบบนสุดของโครงการ นั่นก็คือ Opal Lounge ที่สามารถ Take View ได้ถึง 360 องศาพร้อมสวนลอยฟ้า ส่วนพื้นที่อีกครึ่งจะเป็นห้องพักอาศัยอีกจำนวน 6 ยูนิตค่ะ
เราไม่มีแปลนชั้น 55 – 56 มาให้ดูกันนะคะ ซึ่งจะเป็นชั้นบนสุดของตัวโครงการหรือ Super Penthouse เพียง 1 เดียวของโครงการ รวมห้องพักอาศัยทั้งหมดของโครงการแล้วอยู่ที่ 787 ยูนิต สังเกตได้ว่าภายใน Residential Building มี Passenger Lift ให้อยู่ 4 ตัว แบ่งออกเป็น Low Zone 2 ตัว และ High Zone อีก 2 ตัว ซึ่งน่าจะช่วยจัดการ Traffic การใช้ลิฟท์ได้ดีมากขึ้น และยังมี Service Lift อยู่อีก 1 ตัว คิดเป็นอัตราส่วนห้องพักอาศัยต่อลิฟท์อยู่ที่ 197 : 1 ถือว่าเกินค่ามาตรฐาน อาจต้องมีการรอลิฟท์กันบ้างเหมือนอาคารสูงทั่วไปค่ะ
เรามาดูที่โมเดลในส่วนของชั้นบนๆ ของโครงการกันบ้างค่ะ และนี่ก็คือบริเวณจุดที่สูงที่สุดของตัวโครงการฝั่งทิศเหนือ ซึ่งบนยอดของโครงการได้ออกแบบมาให้มีลักษณะเป็นเส้นโค้งที่ถอดแบบมาจาก Sydney Habour Bridge และ Opera House ซึ่งเป็น Landmark และเป็นภาพวิวที่ติดตามากที่สุดเวลาพูดถึงออสเตรเลีย
ส่วนที่ฝั่งทิศใต้เราจะเห็นช่วงขั้นบันไดส่วน Sky Garden, Private garden และ Opal Lounge ค่ะ
เรามาดูภาพบรรยากาศจำลองภายใน Opal Lounge กันบ้าง ที่ตั้งชื่อว่า Opal Lounge เพราะมีแนวคิดการออกแบบมาจาก Opal ซึ่งถือเป็นอัญมณีตระกูล Quartz ที่โดดเด่นในประเทศออสเตรเลีย โดยการนำเอาสีสันและลวดลายมาใช้ ภายในมี 2 ชั้นด้วยกัน พื้นที่บางส่วนเปิดโล่งแบบ Double Space ล้อมด้วยผนังกระจกโดยรอบสามารถเห็นวิวเมืองได้แบบ 360 องศาเลยค่ะ
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Opal Lounge ที่ชั้นบน เป็นจุดที่สูงที่สุดในโครงการรองลงมาจาก Super Penthouse จากมุมนี้ได้อิ่มเอมกับวิวเมืองในทุกค่ำคืนอย่างแน่นอน
คงมีหลายคนสงสัยว่า Super Penthouse นี่มีหน้าตาเป็นอย่างไร ทางโครงการเขาปล่อยภาพบรรยากาศจำลองมาให้ดูกันเป็นน้ำจิ้มนิดนึง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นบริเวณ Private Terrace และ Private Pool ค่ะ
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณจุดสูงสุดของตัวโครงการที่ระดับ 190 เมตรจากพื้น ออกแบบมาให้มีลักษณะเป็นเส้นโค้งที่ถอดแบบมาจาก Sydney Habour Bridge และ Opera House ในเวลากลางคืน Meaning ของเส้นโค้งนี้จะเปลี่ยนไปเป็นทางช้างเผือกตรงส่วนโค้ง ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่มี The Most Darkest Sky แห่งหนึ่งของโลก ด้วยการเล่น Lighting โดยใช้ Multi – media LED ให้เหมือนเป็นทางช้างเผือกใจกลางกรุงเทพฯ ไม่ว่าจากมุมไหนๆ ก็สามารถเห็นยอดของอาคารได้ค่ะ
ภาพบรรยากาศจำลองในมุมสูง เห็นบริบทและพื้นที่สีเขียวของโครงการทั้งหมด
:::: แบบห้องของโครงการ ::::
ห้องภายในโครงการสามารถแบ่งออกเป็น 5 แบบหลักๆ คือ 1 – 4 Bedroom ขนาด 42 – 350 ตร.ม. และ Super Penthouse ขนาด 970 ตร.ม. รวมถึงมีให้เลือกทั้งแบบห้อง Simplex และห้อง Duplex อีกด้วย ซึ่งห้องแบบ Duplex นี้จะมีขนาดตั้งแต่ 3 – 4 Bedroom ขึ้นไปเท่านั้น
ห้องของทางโครงการขายแบบ Fully Fitted ได้ Smart Kitchen และ Intelligent Toilet พร้อมระบบ Home Automation ควบคุม Lighting เครื่องปรับอากาศ และผ้าม่านได้ รวมถึงได้ Digital Door Lock ด้วยค่ะ
ห้อง 1 Bedroom Type Ae ขนาด 45.0 ตร.ม.
ห้อง 1 Bedroom Type Bb ขนาด 61.0 ตร.ม.
ห้อง 2 Bedroom Type Db ขนาด 76.5 ตร.ม.
ห้อง 2 Bedroom Type Eb ขนาด 91.5 ตร.ม.
ห้อง 3 Bedroom Type Gb ขนาด 115.0 ตร.ม.
ห้อง 3 Bedroom (Duplex) Type Hd ขนาด 136.0 ตร.ม.
ห้อง 3 Bedroom (Duplex) Type Ib ขนาด 180.5 ตร.ม.
ห้อง 3 Bedroom (Duplex) Type Ka ขนาด 363.0 ตร.ม.
ห้อง 4 Bedroom (Duplex) Type La ขนาด 206.5 ตร.ม.
ห้อง 4 Bedroom (Duplex) Type Ma ขนาด 222.5 ตร.ม.
ห้อง 4 Bedroom (Duplex) Type Nb ขนาด 350.0 ตร.ม.
:::: ห้องตัวอย่าง ::::
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo จะพาท่านผู้อ่านไปชมห้องตัวอย่างของทางโครงการด้วยกัน 2 ห้องด้วยกัน นั่นก็คือห้อง 1 Bedroom ขนาด 45.0 ตร.ม. และห้อง 3 Bedroom ขนาด 115.0 ตร.ม. ไปชมรายละเอียดของห้องด้วยกันเลยค่ะ
::: ห้อง 1 Bedroom ขนาด 45.0 ตร.ม. :::
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 45.0 ตร.ม. เป็นห้องที่มีขนาดกำลังพอดีกับจำนวน 1 – 2 คน ภายในห้องแบ่งสัดส่วนได้เป็นอย่างดี พอเข้าไปในห้องจะเจอส่วน Common Area ประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่นและพื้นที่รับประทานอาหารเชื่อมต่อกับครัวเป็นครัวเปิดและห้องน้ำ ถัดเข้าไปจาก Common Area เป็นส่วนของห้องนอนค่ะ โดยห้องนอนจะถูกกั้นส่วนออกไปด้วยประตูบานเลื่อนกระจกอลูมิเนียม ภายในห้องนอนจะสามารถแบ่งพื้นที่เป็น Walk – in Closet ในตัวได้
ทางโครงการตกแต่งห้องให้แบบ Fully Fitted ได้ Smart Kitchen และ Intelligent Toilet พร้อมระบบ Home Automation ควบคุม Lighting เครื่องปรับอากาศ และผ้าม่านได้ รวมถึงได้ Digital Door Lock ด้วยค่ะ
พอเข้ามาภายในห้องแล้วจะเจอ Common Area ก่อนเลยซึ่งส่วนแรกจะเป็นห้องนั่งเล่น ถัดเข้าไปด้านในคือส่วนรับประทานอาหารที่เชื่อมต่อกับครัวเปิด สามารถเข้าห้องน้ำได้จากทางฝั่งห้องครัว ส่วนด้านในสุดเลยคือห้องนอนค่ะ ซึ่งห้องนอนจะกั้นส่วนจาก Common Area ด้วยบานเลื่อนกระจกนั่นก็เพราะว่าส่วน Common Area ต้องเพิ่งแสงธรรมชาติผ่านทางห้องนอนด้วย ข้อดีของการกั้นห้องด้วยบานเลื่อนกระจกก็คือช่วยให้ห้องดูกว้างขวางขึ้นค่ะ แต่ในเรื่องของความเป็นส่วนตัวก็จะน้อยกว่าห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบนะ ส่วนวัสดุภายในห้องเราจะได้พื้นกระเบื้องจาก Cotto Italia ลายหินอ่อนสีขาว และผนังฉาบเรียบทาสี
ฝ้าเพดานสูง 2.85 เมตร เป็นฝ้าฉาบเรียบติดดวงโคมดาวน์ไลท์ พร้อมแอร์ Cassette Type แบบ 4 Way ระบบ VRV จาก Daikin ซึ่งสามารถทำให้แอร์เย็นเร็ว มีอุณภูมิสม่ำเสมอทั่วกันทุกทิศทาง แถมยังช่วยประหยัดไฟอีกด้วยค่ะ จะสังเกตเห็นว่า Fire sprinkler จะได้แบบฝังฝ้าเหมือนในห้องตัวอย่างเลย ซึ่งจะทำให้ห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดตา ไม่ทำลายดีไซน์ของตัวห้องด้วย
เรามาดูไอเดียการจัดพื้นที่ใช้สอยภายในห้องตัวอย่างกันต่อเลยค่ะ
เริ่มจากห้องนั่งเล่น ทางโครงการวางโซฟาแบบ Love Seat ขนาด 2 ที่นั่งพร้อมโต๊ะกาแฟและโต๊ะข้างอีก 1 ตัวมาให้ดูเป็นไอเดีย แต่จริงๆ แล้วเราสามารถเอาโต๊ะข้างออกแล้ววางโซฟาเบดแทนได้เลยนะ
ฝั่งตรงข้ามทางโครงการทำผนังตกแต่งพร้อมวางชั้นวางทีวีและตู้ Built – in สำหรับจัดเก็บรองเท้ามาให้ดูเป็นไอเดีย แม้ว่าห้องขนาด 45.0 ตร.ม.ถือว่าเป็นห้องที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่สำหรับห้องแบบ 1 Bedroom ก็จริง แต่การทำตู้เก็บของและจัดข้าวของให้เป็นระเบียบนั้นถือเป็นประเด็นสำคัญของการอยู่ในคอนโดเลยค่ะ
ซึ่งวัดดูแล้วห้องนั่งเล่นจะมีระยะในการนั่งดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตร เลยสามารถดูทีวีจอขนาด 50 – 55 นิ้วได้เลย และเป็นระยะที่สามารถวางโต๊ะกาแฟตรงกลางได้โดยไม่เกะกะขวางทางเดิน
ถัดจากห้องนั่งเล่นก็คือส่วนรับประทานอาหารค่ะ ซึ่งส่วนนี้ทางโครงการจัดชุดโต๊ะ – เก้าอี้ขนาด 2 ที่นั่งเอาไว้ให้ดูเป็นไอเดีย ซึ่งจริงๆ แล้วพื้นที่ในห้องสามารถวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งได้เลย สำหรับวันที่มีแขกมาหรือมีอาหารหลายจาน โต๊ะไซส์นี้อาจจะไม่พอนะ ถ้าไม่อยากให้ห้องดูแคบเราสามารถเลือกใช้โต๊ะที่สามารถกางขยายและพับเก็บในเวลาที่เราไม่ใช้งานได้ค่ะ
ฝั่งตรงข้ามกับพื้นที่รับประทานอาหารก็คือห้องครัว โดยเราจะได้ครัวเปิดแบบที่เห็นนี้ทุกประการเลยนะ ซึ่งครัวของที่นี่จะเป็นครัวแบบ Smart Kitchen มีขนาดใหญ่ สวยงาม มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน เราได้ทั้งเคาน์เตอร์ครัวรูปตัว U พร้อมชั้นลอยเก็บของ และตู้เย็น Built – in ค่ะ
เคาน์เตอร์ครัวที่เราได้เป็นรูปตัว U แบบนี้ ทำให้มีพื้นที่ในการยืนปรุงอาหารตรงกลางอยู่ที่ 1 เมตร ขนาดพอยืนปรุงอาหารได้สะดวก 1 คนพอดี และอาจมีลูกมือคอยช่วยเหลือยืนอยู่ตรงฝั่งด้านนอก Island ก็ได้ค่ะ Top เคาน์เตอร์ครัวที่ได้เป็นหินเทียมลายหินอ่อนสีขาว ซึ่งทนทานต่อการใช้งาน เพราะไม่มีรูพรุน ไม่ดูดซึมน้ำ และสามารถทนรอยขีดข่วนได้ดี แถมยังทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
ชุดอุปกรณ์ภายในครัวก็ติดตั้งมาให้เรียบร้อยค่ะ เตาปรุงอาหารได้เป็นเตาเซรามิกขนาด 2 หัวจาก Kuppersbusch
มีเครื่องดูดควันแบบมีท่อปล่อยออกไปสู่ภายนอกจาก Kuppersbusch เช่นกัน
ส่วนทางด้านซ้ายก็เป็นอ่างล้างจานแบบหลุมเดียวของ Franke พร้อมมีเขียงกับตะแกรงของอ่างล้างจานมาให้พร้อม
ผนังก็ติดตั้ง Backsplash หินเทียมลายหินอ่อนมาให้เพื่อสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย รวมถึงยังมีที่แขวนมีด ที่แขวนกระดาษชำระ และที่พักจานติดมาให้แบบในห้องตัวอย่างนี้เลยค่ะ
นอกจากนี้บนเคาน์เตอร์ยังติดตั้ง Pop up Plug เอาไว้ให้อีกด้วย เผื่อการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องอื่นๆ แบบที่ไม่ได้ตั้งใช้งานประจำ เช่น เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เป็นต้น
ส่วนที่ใต้เคาน์เตอร์ ก็มีช่องสำหรับเก็บจาน – ชามและอุปกรณ์ต่างๆ ได้เยอะเลย ซึ่งลิ้นชักและบานเปิดทั้งหมดจะติดตั้งโช๊คและ Soft close ป้องกันการกระแทกมาให้เรียบร้อย ตัวบานเปิดเคาน์เตอร์ปิดผิวด้วยสแตนเลสสี Copper อย่างสวยงาม พิเศษตรงใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างมือจะมี Food Blender สำหรับปั่นเศษอาหารเหลือติดเอาไว้ให้เพื่อให้สามารถ Flush ลง Toilet ได้เลย เป็นการลดปริมาณของขยะไปในตัวค่ะ
นอกจากนี้ยังติดตั้งเตาอบของ Kuppersbusch มาให้
และเครื่องซักผ้าของ Teka ที่สามารถทั้งซักและอบผ้าได้ในเครื่องเดียวได้
ส่วนชั้นลอยเก็บของก็ติดตั้งมาให้ทั้ง 3 ด้าน จะมามี 2 ด้านนี้ที่ทำเป็นบานเปิด ปิดผิวด้วยกระจกเงาสีชา งานเนี้ยบดูหรู
พิเศษหน่อยสำหรับตู้ทางขวามือจะมีกลไกที่เราสามารถดึงมันลงมาได้ ซึ่งจะสามารถหยิบของที่ชั้นสูงๆ ได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
ส่วนตู้ทางขวามือสุดด้านในเป็นตู้เย็นแบบ Built – in ขนาด 18 คิวจาก Teka ดีไซน์เรียบเนียนไปกับเคาน์เตอร์ครัว ข้างบานก็ยังมีช่องสำหรับเก็บของเพิ่มเติมได้อีกนะ
ส่วนห้องน้ำเราสามารถเข้าได้จากทางห้องครัวตามที่ได้เกริ่นเอาไว้ตอนต้น
ภายในห้องน้ำมีการแบ่งฟังก์ชั่นส่วนเปียกและส่วนแห้งออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน วัสดุที่ปูพื้นและผนังใช้กระเบื้องจาก Cotto Italia ลายหินอ่อนสีขาวเหมือนกับพื้นที่ Common area ด้านนอกเลยค่ะ แต่ที่พื้นจะใช้กระเบื้องชนิดผิวหน้าด้านแบบ Non Slip ช่วยกันลื่นเวลาพื้นเปียกน้ำ ผนังเป็นผิวหน้าแบบ Glossy ส่วนสุขภัณฑ์จะใช้ของ Kohler และ Gessi ทั้งหมดค่ะ
พื้นที่ภายในห้องน้ำมีความกว้างประมาณ 1.65 เมตร เป็นความกว้างที่สามารถใช้งานได้สะดวกและไม่รู้สึกว่าอึดอัดค่ะ
ด้านบนติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้าให้ถึง 3 จุด พร้อมพัดลมดูดอากาศ ส่วนความสูงของฝ้าเพดานจะลดต่ำลงน้อยกว่าด้านนอกเหลืออยู่ประมาณ 2.6 เมตร
เรามาดูสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำที่เราจะได้กันต่อ อ่างล้างหน้าของ Kohler เป็นอ่างแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์บน Top หินอ่อน พร้อมก๊อกน้ำปรับน้ำร้อน – น้ำเย็นได้จาก Gessi
บริเวณใต้อ่างก็มีตู้สำหรับเก็บของอย่างพวกกระดาษชำระ หรืออุปกรณ์สำหรับใช้ทำความสะอาด ซึ่งของจริงจะมีเครื่องทำน้ำร้อนติดตั้งเอาไว้ในนี้ด้วย และผนังของห้องน้ำโครงการนี้มีการฝังท่อน้ำร้อนเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนด้านบนอ่างติดตั้งตู้กระจกมาใต้สามารถใช้เก็บทั้งแปรงสีฟัน ยาสีฟัน หรือครีมต่างๆ ที่ใช้ในห้องน้ำ ใต้ตู้ติดตั้งไฟซ่อนเอาไว้ให้ เวลาล้างหน้าหรือแปรงฟันจะได้มีแสงสว่างเพียงพอ
ถัดมาเป็นโถสุขภัณฑ์แบบ Smart Toilet รุ่น Veil ซึ่งเป็นรุ่น Top จาก Kohler ฟังก์ชั่นการใช้งานสามารถทำได้ทุกอย่างที่คุณคิดว่าโถสุขภัณฑ์จะสามารถทำได้เลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ระบบการเปิด – ปิดฝาอัตโนมัติ จากระยะของผู้ใช้งานตามค่าที่ Set เอาไว้, ระบบทำความสะอาดตนเองรวมถึงก้านฉีดชำระ, ระบบไฟ LED Nightlight และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งสามารถควบคุมผ่านรีโมท Touch Screen หน้าจอ LCD
โดยติดตั้งตัวรีโมทเอาไว้ให้ที่ด้านข้างเลยค่ะ สามารถหยิบใช้งานได้ง่าย แต่รีโมทเครื่องนี้ไม่กันน้ำนะ ต้องระวังในจุดนี้ด้วย
ส่วนฝั่งตรงข้ามกับโถสุขภัณฑ์ก็ติดตั้งราวแขวนผ้าเช็ดตัวมาให้
พื้นที่อาบน้ำจะกั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้เรียบร้อย
ซึ่งตัวมือจับบานประตูก็สามารถใช้แขวนผ้าเช็ดตัวได้เช่นกัน
พื้นที่ยืนอาบน้ำมีขนาดประมาณ 1.2 x 0.85 เมตร เป็นระยะที่สามารถยืนอาบน้ำได้สบายๆ จะเห็นว่าที่นี่เขาเลือกใช้รางระบายน้ำแสตนเลสแทนการก่อธรณีเพื่อกันน้ำไหลย้อน ถือเป็นข้อดีมากๆ เพราะผู้ใช้งานจะไม่มีการสะดุดหกล้มอย่างแน่นอน ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นมิตรกับผู้สูงอายุที่เดินไม่ค่อยคล่องอีกด้วย
ภายในโซนอาบน้ำติดตั้ง Hand Shower ซึ่งราวปรับระดับความสูงได้ ที่แขวนฝักบัวก็ปรับองศาได้ ก๊อกน้ำเป็นแบบก้านโยกทำให้ใช้งานสะดวก และที่ด้านซ้ายมือจะมีช่องเว้าเข้าไปขนาด 30 x 45 ซม. สามารถทำเป็นชั้นวางแชมพูและครีมอาบน้ำเพิ่มเติมได้เลย
ขนาดหัวฝักบัวใหญ่กำลังดีใช้งานสะดวกค่ะ ชุดนี้ที่ได้มาเป็นของ Gessi อีกเช่นเคย
นอกจากนี้ยังมี Rain Shower ติดตั้งมาให้บนฝ้าอีกด้วยนะ
คราวนี้เราจะเข้าไปดูภายในส่วนของห้องนอนกันต่อ ซึ่งกั้นส่วนจาก Common Area ด้วยประตูบานเลื่อนกระจกกรอบอลูมิเนียมแบบ 3 ตอน จึงสามารถเลื่อนเปิดได้กว้างมากขึ้น
พื้นภายในห้องนอนทั้งหมดปูด้วย Engineering Wood ใช้ Top ผิวไม้โอ๊คแทนพื้นกระเบื้อง เพื่อให้ได้ผิวสัมผัสที่นุ่มและอุ่นมากขึ้น เหมาะกับการพักผ่อนหลับนอนค่ะ
พื้นที่ภายในห้องนอนถือว่ามีขนาดที่ใหญ่พอสมควรเลยค่ะ เราสามารถจัดวางเตียงนอน King Size ได้อย่างสบายๆ
พอวางเตียงนอนแล้วก็ยังเหลือพื้นที่โดยรอบ สามารถวางโต๊ะข้างเพิ่มได้ทั้ง 2 ฝั่ง
แถมฝั่งด้านขวาก็ยังเหลือพื้นที่สามารถวางชุด Armchair ได้อีกสักชุดสำหรับนั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ หรือเราจะวางโต๊ะทำงานแทนก็ยังทำได้
ส่วนช่องแสงที่ได้จะเป็นแบบเต็มผนังสูงจากพื้นถึงฝ้า ได้กรอบหน้าต่างอลูมิเนียมสีดำ ติดกระจก Low-E หรือกระจกสะท้อนความร้อนแบบ Double Glazing ซึ่งจะมี Air Gap อยู่ตรงกลางระหว่างกระจกลามิเนตทั้ง 2 แผ่น ที่ช่วยในการลดการถ่ายเทความร้อนและเสียงรบกวนจากภายนอกสู่เข้าภายในอาคารได้ดีค่ะ ซึ่งด้านซ้ายมีหน้าต่างบานกระทุ้งที่สามารถเปิดระบายอากาศได้อีกด้วย ส่วนด้านบนก็จะมีช่องซ่อนรางม่านเอาไว้ให้เรียบร้อย พร้อมงานระบบของม่านไฟฟ้าฝังเอาไว้ให้ใต้ฝ้าเรียบร้อยแล้ว
สังเกตว่าห้องนี้จะไม่มีระเบียงนะคะ แต่ที่ฝั่งขวาของหน้าต่างจะมีประตูบานเลื่อนเปิดอยู่ด้วย เป็นการปรับฟังก์ชั่นออกแบบให้พื้นที่ภายในห้องกลายเป็นระเบียงแบบ Indoor ได้ด้วยในตัวเลย
ซึ่งมีราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass สูง 1 เมตร กั้นเอาไว้ให้แบบนี้ค่ะ
นอกจากนี้ด้านขวาสุดยังมีช่องประตูกระจกฝ้าเล็กๆ อยู่อีก 1 บาน ซึ่งสามารถเปิดออกไปยังช่องเก็บ Condensing Unit ได้
พื้นที่ส่วนนี้จะมีระแนงของ Facade อาคาร ที่ช่วยพรางสายตาทำให้รูปด้านของอาคารดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด และใช้ตากผ้าเล็กๆ น้อยๆ ได้ค่ะ
พื้นที่ด้านนอกจะมีขนาดประมาณ 1.3 x 0.9 เมตร ปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิก และมีท่อระบายน้ำให้เรียบร้อย
ภาพจากฝั่งหน้าต่างมองกลับเข้ามาภายในห้อง
หันกลับเข้ามาภายในห้อง หันไปทางฝั่งปลายเตียงนอนที่เป็นชั้นวางทีวี จริงๆ แล้วเราจะได้เป็นห้องโล่งๆ ไม่มี Panel กั้นส่วนมาให้แบบนี้นะ แต่ทางโครงการตกแต่งห้องและแบ่งส่วน Walk – in Closet มาให้เราดูเป็นไอเดียกันค่ะ
พอกั้นผนังเบาและวางชั้นวางทีวีแล้วก็ยังเหลือพื้นที่สำหรับเป็นทางเดิน สามารถเดินผ่านได้สะดวก
ด้านหลังชั้นวางทีวีทำเป็น Walk – in Closet และโต๊ะเครื่องแป้งได้แบบนี้เลย
โดยทำตู้เป็นรูปตัว L สามารถเก็บเสื้อผ้าได้เยอะ และเหลือ Space ตรงกลางกว้าง 85 ซม.เพื่อเป็นพื้นที่แต่งตัว
:: ห้อง 3 Bedroom Type Gb ขนาด 115.0 ตร.ม. ::
ห้อง 3 Bedroom ขนาด 115.0 ตร.ม. เป็นห้องแบบ 3 Bed 3 Bath สามารถรองรับคนได้ถึง 5 – 6 คนเลยทีเดียวค่ะ ภายในห้องแบ่งสัดส่วนได้เป็นอย่างดี พอเข้าไปในห้องจะเจอโถงทางเดิน ต่อเนื่องเข้าไปยังส่วน Common Area ประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่นและพื้นที่รับประทานอาหารขนาดกว้างขวาง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับฟังก์ชั่นอื่นๆ ทั้งหมด เชื่อมต่อกับระเบียง 2 ชั้น, ห้องครัวแบบปิด, ห้องนอน Master Bedroom ทางฝั่งซ้าย และห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องทางฝั่งขวา สำหรับครอบครัวที่มีลูกคนเดียวก็สามารถปรับใช้ห้องนอนเล็กอีกห้องนึงเป็นห้องอเนกประสงค์แทนก็ได้นะคะ
ทางโครงการตกแต่งห้องให้แบบ Fully Fitted ได้ Smart Kitchen และ Intelligent Toilet พร้อมระบบ Home Automation ควบคุม Lighting เครื่องปรับอากาศ และผ้าม่านได้ รวมถึงได้ Digital Door Lock ด้วยเหมือนเดิม
เมื่อเราเข้ามาในห้องจะเจอโถงทางเดินกว้าง 1.5 เมตรเป็นแนวยาวตรงเข้าไปเชื่อมกับ Common Area ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยมากขึ้น สังเกตที่ด้านขวามือติดกับประตูทางเข้าจะมีช่องว่างเล็กๆ เว้าเข้าไป เอาไว้ทำเป็นตู้เก็บรองเท้าได้ค่ะ และเรายังสามารถวางม้านั่งตัวเล็กๆ ทำเป็นมุมนั่งใส่รองเท้าก่อนออกจากห้องได้เลย เพราะพื้นที่โถงทางเดินค่อนข้างกว้าง
จากโถงทางเดินเชื่อมต่อกับ Common Area ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่นและพื้นที่รับประทานอาหาร ส่วนวัสดุภายในห้องเราจะได้พื้นกระเบื้องจาก Cotto Italia ลายหินอ่อนสีขาว และผนังฉาบเรียบทาสีเหมือนเดิมค่ะ
ฝ้าเพดานสูง 2.85 เมตร เป็นฝ้าฉาบเรียบติดดวงโคมดาวน์ไลท์ ซึ่งห้อง Type นี้จะได้แอร์แบบ 1 Way Cassette หรือแอร์ฝังฝ้าแบบ 1 ทิศทางระบบ VRV แบบนี้แทนค่ะ
เรามองย้อนกลับไปที่โถงทางเข้าห้อง ด้านข้างที่เป็นห้องกระจกก็คือครัวที่เราจะได้มาด้วยค่ะ โดยห้องนี้เราจะได้ครัวแบบปิดนะ กั้นส่วนจาก Common Area ด้วยประตูบานเลื่อนกรอบอลูมิเนียม 3 ตอนแบบนี้ ทำให้ห้องเป็นสัดส่วนมากขึ้น ทั้งยังช่วยกันกลิ่นจากการปรุงอาหารไม่ให้ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้
ภายในห้องครัวเราจะได้ Smart Kitchen ครบชุดเช่นเดิม ซึ่งเราจะได้ของทุกอย่างที่เห็นในนี้ ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ยกเว้นแค่ของตกแต่งกับตู้แช่ไวน์เท่านั้นที่จะไม่ได้มาด้วยค่ะ
ขนาดพื้นที่ทำครัวจะกว้างประมาณ 2 x 2.5 เมตร สามารถยืนทำอาหารพร้อมกัน 2 คนได้สบายๆ
มาเริ่มต้นจากตู้ฝั่งซ้ายสุด เป็นส่วนที่สามารถวางพวกแก้วน้ำ, ขวดน้ำ หรือขวดเครื่องเทศเครื่องปรุงรสต่างๆ ได้ สามารถหยิบใช้งานได้สะดวก ส่วนด้านบนก็มีตู้เก็บของ Built – in ความสูงฝ้าถึงฝ้า สามารถใช้เก็บของที่อาจจะไม่ได้หยิบใช้บ่อยได้ รวมถึงตู้เย็นขนาด 2 ประตูเครื่องนี้เราก็ได้มากับห้องด้วยนะคะ
ส่วนที่ใต้เคาน์เตอร์และชั้นลอยเราก็จะได้ช่องเก็บของมาตามที่เห็นแบบนี้เลยค่ะ โดยที่ใต้อ่างจานก็จะติด Food Blender มาให้ด้วยเหมือนเดิม วัสดุปิดผิวบานเปิดเคาน์เตอร์ใช้แสตนเลสสี Copper ส่วนชั้นลอยใช้หน้าบานกระจกเงาสีชา พร้อมติดตั้งโช๊คและ Soft close ป้องกันการกระแทกมาให้เรียบร้อย
ในส่วนของ Top เคาน์เตอร์ครัวที่ได้เป็นหินเทียมลายหินอ่อนสีขาว พร้อม Backsplash และที่แขวนมีด ที่แขวนกระดาษชำระ และที่พักจานติดมาให้แบบในห้องตัวอย่างนี้เลย อ่างล้างจานแบบหลุมเดียวของ Franke พร้อมมีเขียงกับตะแกรงของอ่างล้างจานมาให้เหมือนเดิม
เตาปรุงอาหารได้เป็นเตาเซรามิกขนาด 4 หัวพร้อมเครื่องดูดควันแบบมีท่อปล่อยออกไปสู่ภายนอกจาก Kuppersbusch
ส่วนริมขวาสุดของชุด Built – in เราจะได้เครื่องซักผ้าของ Teka ที่สามารถทั้งซักและอบผ้าได้ในเครื่องเดียวได้ สิ่งที่เราจะไม่ได้มาอย่างเดียวก็คือตู้แช่ไวน์ค่ะ
ออกจากห้องครัวมาที่ Common Area เรามาดูไอเดียการจัดพื้นที่ใช้สอยภายในห้องตัวอย่างกันต่อเลยค่ะ โดยเราจะเริ่มจากพื้นที่นั่งเล่นกันก่อน
ทางโครงการวางโซฟาเบดพร้อมอาร์มแชร์ และโต๊ะกาแฟอีกอย่างละ 1 ตัว ให้ดูเป็นไอเดีย ชุดนี้สามารถรองรับได้ประมาณ 3 – 4 คน เราสามารถเลือกโซฟาไซส์ใหญ่กว่านี้อีกเล็กน้อยได้ เพราะพื้นที่ข้างๆ ยังเหลืออยู่อีกพอสมควรนะ
ฝั่งตรงข้ามเราสามารถวางชั้นวางทีวีหรือจะทำชุด Built – in แทนก็ได้ค่ะ ตรงนี้จะมีระยะดูทีวีอยู่ที่ 2.5 เมตรเหมือนกัน เหมาะกับดูทีวีจอขนาด 50 – 55 นิ้ว
จากส่วนนั่งเล่นจะเชื่อมต่อกับพื้นที่ระเบียง 2 ชั้น หรือเป็นระเบียงแบบ Semi – Outdoor ซึ่งข้อดีของมันก็คือ เราสามารถเลื่อนเปิดพื้นที่ระเบียงเพื่อเชื่อมต่อให้พื้นที่นั่งเล่นมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นได้ หรือเวลาที่เราต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องการนั่งเงียบๆ ก็สามารถเลือกที่จะเลื่อนประตูปิดกลายเป็นห้องอีกห้องนึงได้ด้วย สังเกตที่ฝ้าด้านบนมีการดรอปฝ้าเพื่อซ่อนรางม่านพร้อมงานระบบไว้ให้เหมือนเดิม
พื้นที่ระเบียงก็ปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia เหมือนภายใน Common Area นะคะ สังเกตว่ามีพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างขวางทีเดียวขนาดประมาณ 1.4 x 3.7 เมตรเลย และไม่มีการลดระดับพื้นลงเพื่อความต่อเนื่องของฟังก์ชั่นค่ะ
สำหรับพื้นที่ส่วนนี้ เราไม่จำเป็นต้องจัดให้เป็นเหมือนฟังก์ชั่นระเบียงก็ได้นะคะ เราสามารถใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้อีก 1 มุมเลย จะใช้เป็นมุมนั่งทำงานก็ได้ หรือวาง Day Bed สำหรับนอนเล่นอ่านหนังสือและใช้สำหรับรับรองในวันที่มีเพื่อนมาค้างได้ในตัว ตรงช่องหน้าต่างทางด้านซ้ายสุดจะประตูบานเลื่อนและมีราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้อีกเช่นเคย สามารถเปิดออกเพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกได้ ส่วนทางขวาก็จะมีหน้าต่างบานกระทุ้งไว้เปิดระบายอากาศอีก 1 บาน
และที่มุมขวาของระเบียงก็มีประตูห้องเก็บ Condensing Unit อยู่ด้านข้างเหมือนเดิม
กลับเข้ามาภายใน Common Area มาดูพื้นที่รับประทานอาหารกันต่อ ทางโครงการวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่จริงๆ แล้วพื้นที่ทางเดินด้านข้างเหลืออยู่อีก 1.4 เมตรเลย เราจึงสามารถเลือกวางโต๊ะขนาด 6 ที่นั่งได้เลย ไม่ได้ทำให้ห้องดูอึดอัดขึ้นนะคะ
สังเกตมุมด้านข้างโต๊ะรับประทานอาหารจะมีช่องที่เราสามารถทำชั้น Built – in เพื่อวางของตกแต่งหรือวางของที่เราต้องใช้เกี่ยวกับการทานอาหาร เช่นพวกชุดขวดซอสปรุงรส เกลือ พริกไทย เป็นต้น
ด้านข้างส่วนรับประทานอาหารจะมีโถงทางเดินเชื่อมสู่ห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องและห้องน้ำค่ะ
เริ่มจากห้องน้ำที่อยู่ฝั่งขวามือของโถงกันก่อน
ทั้งวัสดุ, สุขภัณฑ์ และฟังก์ชั่นการใช้งานของห้องน้ำห้องนี้จะเหมือนกับห้อง 1 Bedroom ทุกประการเลยค่ะ ภายในห้องน้ำมีการแบ่งฟังก์ชั่นส่วนเปียกและส่วนแห้งออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน วัสดุที่ปูพื้นและผนังใช้กระเบื้องจาก Cotto Italia ลายหินอ่อนสีขาว ที่พื้นจะใช้กระเบื้องชนิดผิวหน้าด้านแบบ Non Slip ช่วยกันลื่นเวลาพื้นเปียกน้ำ ผนังเป็นผิวหน้าแบบ Glossy ส่วนสุขภัณฑ์จะใช้ของ Kohler และ Gessi ทั้งหมด
ห้องที่อยู่ติดกับห้องน้ำก็คือห้องนอน 3 ค่ะ
แม้จะเป็นห้องนอนที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่ก็มีพื้นที่ห้องขนาดใหญ่พอสมควรนะ ที่สามารถรองรับเตียงนอนขนาด 5 – 6 ฟุตได้ โดยพื้นของห้องนอนทุกห้องก็จะเปลี่ยนจากกระเบื้องเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ท็อปผิวไม้โอ๊คเช่นเดิม
ซึ่งไซส์เตียงที่เหมาะสมกับขนาดห้องมากที่สุดก็คือเตียงขนาด 5 ฟุตค่ะ จะเหลือพื้นที่ข้างเตียงสามารถเดินผ่านหรือเปลี่ยนผ้าปูเตียงได้และวางโต๊ะข้างได้อีกทั้ง 2 ฝั่ง
ซึ่งพื้นที่ฝั่งขวาเราสามารถวางตู้เสื้อผ้าขนาดมาตรฐานได้อีก 1 ตู้ แล้วยังเหลือพื้นที่ด้านหน้าตู้กว้าง 90 ซม.ในการยืนแต่งตัว
พื้นที่ฝั่งปลายเตียงก็ยังเหลือพอให้สามารถเดินผ่านได้สะดวกอยู่นะ สำหรับคนที่ชอบนอนดูทีวีในตอนกลางคืนด้วย แนะนำให้ใช้ทีวีแขวนผนังแบบนี้ค่ะ
ในห้องนี้เราก็จะได้ช่องแสงสูงถึงฝ้าเพดานเหมือนเดิม ซึ่งฝั่งซ้ายก็มีหน้าต่างบานกระทุ้งให้เราสามารถเปิดระบายอากาศได้ ส่วนฝ้าก็ดรอปลงมาเป็นรางม่านพร้อมซ่อนงานระบบให้เรียบร้อยแล้ว โดยกระจกของห้องนอนทุกห้องก็จะยังได้เป็นกระจก Low – E หรือกระจกสะท้อนความร้อนแบบ Double Glazing ค่ะ
ตามด้วยห้องนอน 2 ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เข้าไปดูภายในห้องด้วยกันเลย
ภายในห้องนอน 2 ก็จะขยับพื้นที่ใหญ่ขึ้นมาจากห้องนอน 3 อีกพอสมควรค่ะ สามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายกว่าเดิมด้วย
ในห้องนี้เราสามารถเลือกวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตพร้อมโต๊ะข้างได้สบายๆ และยังเหลือพื้นที่โดยรอบเตียงอีกเยอะอยู่นะ เรียกว่าวางพวกโต๊ะเครื่องแป้งหรือโต๊ะทำงานเพิ่มได้เลย
พื้นที่ฝั่งซ้ายสามารถตั้งโต๊ะทำงานแบบที่มีความลึกไม่มากไว้ข้างผนังกระจกได้อีก 1 ตัว
ฝั่งด้านขวามือเราสามารถทำตู้เสื้อผ้า Built – in ได้แบบนี้เลยค่ะ
จะสังเกตเห็นว่ายังเหลือพื้นที่ที่ถูกเซ็ทจากผนังเข้าไปอีกค่อนข้างเยอะ เราสามารถทำตู้ที่มีความลึกมากกว่านี้เพื่อใช้เก็บของและกระเป๋าเดินทางได้ด้วยในตัว
พื้นที่ปลายเตียงยังเหลือพอสมควร เราสามารถวางชั้นวางทีวีตัวเล็กๆ แบบที่มีความลึกไม่มากได้
ตำแหน่งของห้องนี้จะอยู่ตรงมุมเสาโครงสร้างพอดี เราจึงไม่ได้หน้าต่างมาเต็มผนังเหมือนห้องอื่นๆ แต่ขนาดที่ได้มาก็ถือว่าไม่เล็กแล้วนะคะ ฝั่งซ้ายก็มีหน้าต่างบานกระทุ้งสำหรับเปิดระบายอากาศได้ 1 บาน และที่ฝั่งซ้ายมือเราจะเห็นประตูทางเข้าห้องน้ำในตัว
ทั้งฟังก์ชั่นการจัดวางห้องน้ำ รวมถึงวัสดุ และสุขภัณฑ์จะเหมือนกับห้องน้ำ 1 Bedroom และห้องน้ำห้องที่แล้วทุกประการค่ะ รวมถึงระบบระบายอากาศก็ใช้ระบบพัดลมดูดอากาศเหมือนกับห้องอื่นๆ
คราวนี้เรามาดูห้อง Master Bedroom ที่อยู่ฝั่งซ้ายของโถง Common Area กันบ้าง
ด้านในห้องนอนมีขนาดกว้างขวางมากๆ โดยจะถูกแบบออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน นั่นก็คือส่วนพักผ่อนฝั่งขวาและส่วนแต่งตัวกับห้องน้ำฝั่งซ้าย
เรามาดูในส่วนพักผ่อนกันก่อนค่ะ พื้นที่ภายในห้องสามารถรองรับเตียงนอนขนาด 6 ฟุตได้เลย
พอวางเตียงนอนพร้อมโต๊ะข้างแล้วก็ยังเหลือพื้นที่ด้านข้างอีกเยอะเลยค่ะ
ทางฝั่งซ้ายส่วนที่ติดริมหน้าต่างก็สามารถวางโซฟาตัวเล็กๆ ได้ฝั่งนึง และวางโต๊ะทำงานได้อีกฝั่งนึงด้วย
ขนาดของโซฟาที่วางได้จะเป็นขนาด 1 ที่นั่งแบบนี้พร้อมโต๊ะกาแฟสักตัว และโต๊ะทำงานขนาดกระทัดรัดแบบนี้ค่ะ
ฝั่งปลายเตียงก็ยังเหลือพื้นที่กว้างถึง 90 ซม.สามารถเดินผ่านได้สะดวก เราสามารถเลือกวางชั้นวางทีวี หรือจะใช้ทีวีแบบแขวนผนังเอาก็ได้
ส่วนพื้นที่ห้องฝั่งซ้ายมือเราสามารถทำเป็นตู้ Walk – in Closet ขนาดใหญ่ ทำตู้ Built – in ได้ทั้ง 2 ฝั่งเชื่อมต่อกับห้องน้ำในตัวแบบนี้ แล้วยังมีพื้นที่ยืนแต่งตัวตรงกลางเหลืออยู่ประมาณ 2.4 เมตรเลยนะ ส่วนพื้นที่ติดกับเตียงนอนจะเหลืออยู่ประมาณ 1.4 เมตร สามารถวางโต๊ะเครื่องแป้งเพิ่มเติมได้ค่ะ
ห้องน้ำของ Master Bedroom จะมีความพิเศษกว่าห้องน้ำห้องอื่นๆ ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่า การแบ่งพื้นที่การใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน รองรับการใช้งานของคู่สามีภรรยาให้สามารถใช้งานได้พร้อมกันเลยค่ะ
ทางซ้ายมือเป็นส่วนของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ มีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบ 2.5 เท่า ใต้เคาน์เตอร์สามารถใช้เก็บของใช้ภายในห้องน้ำได้ดี รวมถึงตู้กระจกก็เช่นค่ะ ได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้นเก็บของได้ดี
สุขภัณฑ์ยังได้อ่างของ Kohler และก๊อกน้ำของ Gessi มาเหมือนเดิม แต่จะเปลี่ยนเป็นอ่างแบบฝังเคาน์เตอร์แทนค่ะ
ความพิเศษอีกอย่างนึงก็คือ ห้องนี้จะได้อ่างอาบน้ำมาด้วยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอ่างล้างมือค่ะ
อ่างอาบน้ำก็จะได้เป็นของ Kohler อีกเช่นกัน มีขนาดประมาณ 1.6 x 0.8 เมตร ลึก 40 ซม. สามารถนอนแช่ทั้งตัวได้ ด้านข้างติด Hand Shower ให้สามารถดึงออกมาใช้งานได้ นอกจากนี้บริเวณขอบอ่างก็ยังเหลือพื้นที่ให้สามารถวางพวกขวดสบู่หรือเทียนหอมได้อีกด้วย
ในส่วนของโถสุขภัณฑ์และส่วน Shower ได้ถูกกั้นสัดส่วนการใช้งานเป็นอย่างดีด้วยกระจก Tempered Glass ทั้ง 2 ส่วนเลยค่ะ
ส่วนสวิตซ์และปลั๊กไฟภายในห้องทั้งหมดจะเป็นของ Schneider สี Copper เข้ากับชุด Built – in ครัวที่ได้มากับห้องค่ะ
รวมถึงสวิตช์สำหรับเปิด – ปิดม่านก็ใช้ดีไซน์แบบเดียวกัน
:::: ราคา ( เมษายน 2562) ::::
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 42 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 8.2 ล้านบาท
ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 115 ตารางเมตร ราคาประมาณ 20 กว่าล้านบาท
ห้อง Penthouse ขนาด 970 ตารางเมตร ราคา 280 ล้านบาท
เงินจอง n/a บาท
เงินทำสัญญา n/a บาท
เงินกองทุน n/a บาท/ตร.ม.
ค่าส่วนกลาง ตร.ม.ละ n/a บาท/เดือน
*ทางโครงกาขายห้องแบบ Fully Fitted สำหรับห้องปกติ และแบบ Bare Shell สำหรับห้อง Super Penthouse
***ข้อมูลราคา และโปรโมชั่นอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดติดต่อสำนักงานขายเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
:::: สรุป ::::
ทำเลที่ตั้งโครงการ โครงการ Supalai ICON สาทร ตั้งอยู่บนถนนสาทรฝั่งใต้ ซึ่งถือเป็นทำเลทองใจกลางย่านธุรกิจที่สำคัญอันดับต้นๆ เทียบแล้วก็เหมือนกับเป็นวอลล์สตรีทของกรุงเทพฯ เลยค่ะ อันเนื่องมาจากโซนนี้เป็นโซนที่มีความคึกคักเพราะมีผู้คนอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น รายล้อมด้วยออฟฟิศและอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของบริษัทชั้นนำต่างชาติ โรงแรมระดับห้าดาว สำนักงานใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ สถานฑูต สถาบันทางวัฒนธรรม ศูนย์การค้า โรงเรียนชั้นนำของประเทศ รวมถึงอาคารสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย ซึ่งเป็น CBD ระดับ Prime อยู่แล้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมไปถึงการเดินทางก็สามารถทำได้สะดวกไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยนต์ส่วนตัว หรือการใช้รถสาธารณะ เพราะอยู่ใกล้ทั้งรถไฟฟ้า, ท่าเรือ และทางด่วนอีกหลายจุดค่ะ
การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ตัวโครงการตั้งอยู่ติดกับถนนสาทรใต้ช่วงตอนต้น ทำให้สะดวกสำหรับคนที่จะเดินทางไปทำงานในตัวเมืองสาทร และเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับทางกลับรถ ฉะนั้นจะกลับรถเข้าเมืองก็ไม่ยากค่ะ ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ช่วงตรงกลางระหว่าง ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ และ ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นถนน 2 เส้นหลักๆ ที่เราสามารถใช้เดินทางได้ และตัวโครงการยังอยู่ติดกับถนนสวนพลู เป็นถนนเส้นที่สามารถใช้วิ่งลัดไปยังจุดต่างๆ ได้ในเวลาที่รถติด นอกจากนี้ ตัวโครงการยังใกล้กับทางด่วนอีกหลายจุด เลือกใช้กันได้ตามความสะดวก ระยะทางจากโครงการไปจุดขึ้นทางด่วนทุกด่าน ประมาณ 2.5 – 6 กม.เท่านั้นค่ะ
การเดินทางโดยรถสาธารณะ การคมนาคมด้วยรถสาธารณะในย่านนี้เรียกว่าสะดวกสบายตามฉบับใจกลางเมือง เพราะมีตัวเลือกมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า, รถเมล์, BRT, แท็กซี่, รถสองแถว, วินมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงท่าเรือก็มีให้เลือกใช้ตรงท่าเรือตากสิน ซึ่งมีทั้งเรือข้ามฟากและเรือด่วน หรือจะเรียกใช้ Grab Taxi หรือ Line Taxi ผ่าน Application ก็หารถง่ายค่ะ
สำหรับระบบราง ปัจจุบันตัวโครงการจะอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินีมากที่สุด ในระยะเดินหรือนั่งวินมอเตอร์ไซค์จะอยู่ที่ 800 เมตรจากหน้าโครงการ นอกจากนี้ก็ยังสามารถไป BTS สถานีช่องนนทรีและสถานีศาลาแดงได้สะดวกเช่นกัน สามารถนั่งพี่วินไปไม่กี่นาทีก็ถึงค่ะ ในอนาคตบนเส้นสาทรเองก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเทาวิ่งผ่าน จากเส้นพระราม 4 ตัดเข้าสาทร และเส้นนราธิวาสฯ สถานีที่ใกล้ที่สุดก็คือสถานีสวนพลู เดินจากหน้าโครงการไปเพียง 200 เมตรเองนะ
การออกแบบโครงการ และวัสดุ เป็นโครงการแบบ Mix – used ประกอบด้วย อาคารสำนักงานให้เช่า ร้านค้าบริเวณด้านหน้า และอาคารชุดพักอาศัย ซึ่งเป็น High rise Condominium ระดับ Super Luxury Class มีจำนวน 1 อาคาร สูง 56 ชั้น บนเนื้อที่ 7 – 3 – 82 ไร่ กับห้องพักอาศัยจำนวน 787 ยูนิต มีห้องให้เลือกแบบ 1 – 4 Bedroom ขนาด 42 – 350 ตร.ม. และ Super Penthouse ขนาด 970 ตร.ม. และมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการรองรับการอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่อย่างลงตัว
โดยจะวางผังออกแบบอาคารเป็นรูปตัว T ในแนวทาง Green Design ที่อนุรักษ์พลังงาน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีสวนขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมส่วนหนึ่งไว้ อีกทั้งยังคำนึงถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างเคียง ให้ได้รับผลกระทบจากตัวโครงการน้อยที่สุด โดยเลือกที่จะเอาด้านสวยๆ ของโครงการ อย่างฝั่งที่มี Facilities ออกไปให้เป็นวิวของอาคารโดยรอบด้วย แต่ก็ยังคงความเป็นส่วนตัวเพราะมีระยะที่ห่างจากอาคารอื่นอยู่มาก นอกจากนี้ก็ยังวางผังอาคารให้ได้รับผลกระทบจากอาคารข้างเคียงน้อยที่สุด และได้รับวิวเยอะมากที่สุด
และมีการใช้แนวคิดในการออกแบบโครงการที่เป็นเสน่ห์ของประเทศ “ออสเตรเลีย” ตามจุดเด่นที่ว่าแต่เดิมตรงนี้เคยเป็นสถานทูตออสเตรเลียมาก่อน สิ่งที่หยิบมาใช้ก็จะเป็นเรื่องของ Landscape, พืชพรรณและสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นตามธรรมชาติ เช่น จิงโจ้ หรือ โคอาล่า, ลวดลายของ Aboriginal Art ของชนเผ่าดั้งเดิมในประเทศออสเตรเลีย รวมถึง Sydney Harbour Bridge และ Opera House ซึ่งถือเป็น Landmark ที่โดดเด่นที่สุดของออสเตรเลีย ให้โครงการออกมาเป็น Landmark ของถนนสาทร ทางโครงการมีการออกแบบโดย The Beaumont Partnership, Lightbox และ BWP City Space ซึ่งเป็นบริษัทสถาปนิกและบริษัทออกแบบระดับแนวหน้าของประเทศเลยค่ะ
ส่วนห้องก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี ห้องพักเน้นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ สามารถจัดการพื้นที่ใช้สอยได้ง่าย และมีรูปแบบหรือขนาดให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย จุดเด่นอยู่ที่ไม่มีระเบียงแบบ Outdoor เลยจึงไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับภายนอกมากนัก แต่จะเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในมากกว่า รวมถึงมีห้องเก็บ Condensing Unit เรียบร้อยดีอีกด้วย เน้นสร้าง Feeling แบบ Homy Environment เหมือนอยู่บ้าน สำหรับห้อง 1 Bedroom จะได้ครัวแบบเปิด ส่วน 3 Bedroom จะเหมาะสำหรับครอบครัวหรือการอยู่อาศัยหลายๆ คนได้ครัวแบบปิด แถมยังได้ระเบียงแบบ Semi – outdoor ที่สามารถใช้ในการขยายพื้นที่ห้องนั่งเล่นได้อีกด้วย
วัสดุก็ให้มาอย่างสมราคาเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Home Automation, พื้นกระเบื้อง Cotto Italia ลายหินอ่อนสีขาว, พื้นในห้องนอนเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ท็อปผิวไม้โอ๊ค, แอร์ Cassette Type แบบ 4 Way, Fire Sprinkler แบบฝังในฝ้า, Smart Kitchen พร้อม Top เคาน์เตอร์หินเทียม หน้าบานตู้ไม้ลามิเนต ปิดผิวด้วยแสตนเลสสี Copper, เตาอบและเตาไฟฟ้าของ Kuppersbusch, อ่างล้างจานของ Franke, กรอบประตูหน้าต่างเป็นอลูมิเนียมสีดำ, กระจกด้านในห้องเป็นในธรรมดา, กระจกด้านนอกหรือในห้องนอนเป็น Low – E แบบ Double Glazing, สุขภัณฑ์ต่างๆ ในห้องน้ำของ Kohler, โถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติของ Kohler รุ่น Veil (เวล), ฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass, Hand Shower & Rain Shower และอ่างอาบน้ำห้อง Kohler สำหรับห้อง Master Bedroom
สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการรองรับการอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่อย่างลงตัว ออกแบบตามแนวคิดจาก Landscape ของประเทศออสเตรเลีย ประกอบด้วย Lobby, 2 Swimming Pools, Roof Garden, Fitness, Aerobic & Yoga, Yoga Fly, Boxing, Mini Climbing Simulation, Group Cycling, Table tennis Room, Kid’s Room, Playground, Hydrotherapy, Sauna & Steam, Co – living Space, Movie Club, Board Room, Sky Lounge (ชั้น 53, 54), EV Charger, Passenger Lift 8 ตัว, Service Lift 2 ตัว, Parking Lift 2 ตัว, ที่จอดรถ 67% และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
:::: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ::::
CALL CENTER : 1720
WEBSITE : http://www.supalai.com/
หากเพื่อนๆเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด Like เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงาน ขอบคุณค่ะ
และมีความคิดเห็นหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวโครงการ สามารถ Comment ได้ที่ด้านล่างของรีวิวค่ะ
I would like to ask about the deal with an agent, how much percentage would the project gave? I have clients in my hand.
Lift มีทั้งหมดแปดนะครับ ไม่ใช่4 แบ่งเปน high4 low4 อัตราส่วน ไม่ถึงร้อยต่อตัว ถือว่าดีมาก