อ่านซักนิด! อุทาหรณ์ ในการซื้อคอนโดหรือบ้าน กับเงื่อนไขที่คุณต้องอ่าน (โดยละเอียด)
สำหรับคนที่ต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน ซื้อคอนโด หรือ ที่อยู่อาศัย ก่อนการกู้แบงค์ ไม่ว่าธนาคารใด ๆ ควรอ่านรายละเอียด สัญญาเงินกู้ให้ดี และละเอียด ทำความเข้าใจก่อนเซ็นสัญญา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับ คุณ [[Jump Around]] สมาชิก Pantip.com ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ การกู้สินเชื่อบ้าน แบบไม่ได้ดั่งใจ ลองอ่านกันดูนะคะ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ก่อนการตัดสินใจซื้อบ้านและคอนโด จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์อย่างเจ้าของกระทู้อีก
สวัสดีค่ะ เราขอยืมล็อคอินแฟนมาเพื่อขอเล่าเหตุการณ์เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่เพื่อน ๆ ทุกคนนะคะ กรุณาอ่านให้จบเพื่อประโยชน์ของทุกคนค่ะ ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ
เราได้ทำสัญญากู้สินเชื่อบ้านกับธนาคารสีส้มในเดือนพฤษภาคม 2557 ในวงเงิน 2,490,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสุดพิเศษคือ ผ่อนชำระ 0% เป็นเวลา 1 ปี และเริ่มผ่อนชำระงวดที่ 1 ภายในวันที่ 5 ของเดือนกรกฎาคม 2557
เราก็เริ่มผ่อนรายงวด ตามที่ระบุในสัญญา คือผ่อนงวดละ 2,500 บาท เริ่มเดือนกรกฎาคม 2557 เป็นงวดแรก โดยเราจะนำเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารสีส้มที่เราเปิดไว้ (สำหรับผ่อนชำระค่างวดโดยเฉพาะ) ทุกต้นเดือนเพื่อให้ธนาคารได้หักค่างวดผ่านทางบัญชีนี้
และแล้วเหตุก็เกิดขึ้นเมื่อเราผ่อนค่างวดมาถึงเดือนกรกฎาคม 2558
อุทาหรณ์ที่ 1 – เงื่อนไขอันตราย 0% 1 ปี
ด้วยความเข้าใจผิดเรื่องระยะเวลา 0% 1 ปี เราจึงนำเงินไปเข้าบัญชีตามปกติ 2,500 บาท ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2558 (เรานับว่าระยะเวลา 0% 1 ปีนั้น คือนับรวมงวดเดือนกรกฎาคม 2558 ด้วย ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มันครบ 1 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว-ผิดเองค่ะ ยอมรับโดยดุษฎี) ก่อนบินไปเที่ยวต่างประเทศในวันที่ 10 กรกฎาคม
เรายังไม่รู้ตัวในความผิดพลาดตรงนี้ค่ะ จนกระทั่งวันที่ 16 กรกฎาคม (วันเดินทางกลับ) มีเบอร์แปลกโทรเข้าเครื่องเรา 2 ครั้ง ในช่วงเย็น ด้วยความที่เหนื่อยจากการเดินทางจึงไม่ได้รับในเย็นวันนั้น
วันรุ่งขึ้น 17 กรกฎาคม เราจึงติดต่อกลับ (จำเวลาแน่ชัดไม่ได้ค่ะ) เมื่อทราบว่าปลายสายเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารสีส้มก็แปลกใจ สอบถามได้ความว่า เราค้างชำระค่างวดในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเรา (ยังไม่รู้ตัว) ก็ยืนยันเจ้าหน้าที่ปลายสายว่า ได้นำเงินเข้าแล้วก่อนเดืนทางไปต่างประเทศ เจ้าหน้าที่เช็คข้อมูลสักพักก็แจ้งกลับว่า เราต้องจ่ายค่างวดเดือนกรกฎาคมนี้เป็นจำนวนเงิน 17,600 บาท ไม่ใช่ 2,500 บาทแล้ว เราขอโทษเจ้าหน้าที่ และแจ้งไปว่า จะขอไปชำระที่ยังค้างหลังวันที่ 24 กรกฎาคม (รอเงินเดือนออก) ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร รับทราบและวางสายไป
วันที่ 24 กรกฎาคม เราเดินทางไปยังธนาคารสีส้มสาขาเมกาบางนา เพื่อชำระค่างวดที่คงค้างราว ๆ 15,000 บาท (ธนาคารหักเงินในบัญชีเราที่มีอยู่ 2,688.85 บาทไปแล้วเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม)
เมื่อชำระเสร็จเจ้าหน้าที่ธนาคารที่สาขาเมกาบางนา แจ้งว่า (1) 15,000 บาท เป็นค่าดอกเบี้ยนะคะ (2) เรายังคงมีดอกเบี้ยค้างชำระอยู่อีก 3,559.09 บาท
เนื่องจากเราทำสัญญาเงินกู้ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 ดังนั้น เงื่อนไข 0% 1 ปี ของเราจึงครบไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 แล้ว ธนาคารจึงคิดดอกเบี้ยเรานับจากวันครบกำหนดถึงวันที่เราไปจ่าย (ดอกเบี้ยรายวัน) เป็นจำนวน 55 วัน อัตราดอกเบี้ย 6.6% เป็นเงินทั้งสิ้น 23,747.94 บาท
เรายืนงงอยู่พักใหญ่ ว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น ในเมื่อเราเริ่มผ่อนค่างวด งวดแรกในเดือนกรกฎาคม ทำไมจึงคิดดอกเบี้ยเราตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่สาขาเมกาบางนา ได้โทรติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อสาขาประเวศ (สาขาต้นเรื่อง) ให้เราได้คุยด้วย โดยสรุปเนื้อหาจากการสนทนาได้ว่า “หลายคนเจอปัญหานี้” และทุกรายจบด้วยการ “ทำอะไรไม่ได้”
เราตกใจมาก สอบถามว่าจะต้องติดต่อใครดีเรื่องนี้ในเมื่อสัญญาระบุชัดเจนว่าค่างวด เริ่มชำระในเดือนกรกฎาคม ทำไมเราจึงถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ทำสัญญา ได้รับคำตอบว่า เค้าจะช่วยส่งเมล์ติดต่อเจ้าหน้าที่สาขาสวนมะลิให้ และจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดต่อกลับหาเรา (เราเริ่มสับสนว่าตกลงธนาคารสาขาไหนที่เป็นต้นเรื่องของเรากันแน่ แต่เราก็ขอเบอร์และชื่อเจ้าหน้าที่สาขาสวนมะลิมาด้วยค่ะ)
อาจเพราะติดเสาร์อาทิตย์จึงไม่มีใครติดต่อกลับหาเรา จนวันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม เราตัดสินใจโทรหาเจ้าหน้าที่สาขาสวนมะลิตามที่ได้เบอร์มา ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อรับเรื่องและแจ้งว่าจะให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง เราได้รับคำแนะนำว่า ให้ลองโทรสายด่วน hotline ของธนาคารสีส้ม เพื่อสอบถาม เมื่อโทรได้ความว่า เราต้องติดต่อธนาคารสาขาประเวศเพราะเป็นสาขาต้นเรื่อง (ตอนนี้ยอมรับว่า เริ่มสับสนรอบสอง ว่าตกลง สาขาสวนมะลิหรือสาขาประเวศกันแน่ที่เราต้องติดต่อ) ถามย้ำ จนแน่ใจว่า สาขาต้นเรื่องคือสาขาประเวศ เราจึงตัดสินใจติดต่อสาขาประเวศดูอีกครั้ง
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม เราโทรหาธนาคารสาขาประเวศเพื่อขอสายเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อที่เราได้เคยคุยด้วย ทราบว่า เช้านี้เค้าไม่อยู่ เข้าธนาคารสาขาสวนมะลิ และจะกลับเข้ามาช่วงบ่าย เมื่อได้ยินดังนั้น เราจึงตัดสินใจ จะไปที่ธนาคารเพื่อนำหลักฐานที่มีไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ให้รู้เรื่อง
อุทาหรณ์ที่ 2 – สัญญาดอกเบี้ย ≠ สัญญาการผ่อนชำระค่างวด (ดังรูป)
เมื่อถึงธนาคารสาขาประเวศ ได้พบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ (คนเดียวกับที่เราเคยคุยด้วยทางโทรศัพท์) จึงได้สอบถาม และยื่นหนังสือสัญญาการกู้เงินของเราที่ทำกับธนาคารสีส้มให้ดู พร้อมขอคำอธิบายเรื่องเงื่อนไขการผ่อนชำระค่างวด ว่าทำไมธนาคารเรียกเก็บค่าดอกเบี้ยเราตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นเงินเกือบ 24,000 บาท
เจ้าหน้าที่พูดย้ำว่า เราไม่ใช่เคสแรก และทุกเคส เค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ (พร้อมยกตัวอย่างว่ามีเคสก่อนหน้าเราบินลงมาจากเชียงรายเพื่อการนี้ เช่นกัน)
เค้าอธิบายว่า เราทำสัญญากู้เงินตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 และการคิดอัตราดอกเบี้ย 0% นั้นเฉพาะ 1 ปีแรก และครบลงในวันที่ 30 พฤษภาคม 2558 แล้ว
ส่วนสัญญาการผ่อนชำระค่างวดของเรานั้น เริ่มในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสัญญาทั้งสองระยะเวลาไม่สอดคล้องกัน (ธนาคารทราบดีว่า มีการไม่สัมพันธ์กันของเนื้อหาสัญญาดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อลูกค้ามาแล้วหลายครั้งหลายครา แต่แจ้งว่า ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะมันเป็นกฏของทางธนาคาร)
เหตุผลที่เราไปเริ่มผ่อนค่างวดในเดือนกรกฎาคม เพราะว่าเราทำสัญญากู้เงินวันที่ 30 และตามกฎของทางธนาคารคือ ถ้าผู้กู้ทำสัญญาระหว่างวันที่ 1-20 จึงจะมีผลในเดือนถัดไป แต่ของเราทำในวันที่ 30 จึงโดนเลื่อนไปอีก 1 เดือน (สรุปเราซวยเองที่ทำสัญญาปลายเดือนอย่างนั้นหรือ)
เมื่อได้รับคำตอบดังกล่าว เราไปไม่ถูกเลยค่ะ ยอมรับว่าตนเองโง่เองที่ไม่รู้เรื่องในตรงนี้
เจ้าหน้าที่กล่าวต่อ ว่า ถ้าเราไม่เลือกเงื่อนไขการชำระค่างวดแบบ “ขั้นบันได” เราจะไม่เจอปัญหานี้ เราอึ้งไปเล็กน้อยบอกว่า เราไม่รู้เรื่องหรอก ในเมื่อสัญญาระบุชัดเจนว่า งวดที่ 1-12 ให้เราผ่อนเดือนละ 2,500 บาท เราก็นำเงินใส่ตามนั้น (เจ้าหน้าที่ธนาคารอธิบายเพิ่มเติมว่า แบบขั้นบันไดคือ จ่ายขั้นต่ำก่อน แล้วค่อยมาจ่ายเต็มจำนวนในปีถัดมา)
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ต่อสายให้เราคุยกับผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อสาขาสวนมะลิ ซึ่งเป็นสาขาที่ส่งเซลล์ไปทำสัญญากู้กับลูกค้า เราก็คุยไปทั้งที่รู้ว่า คำตอบคืออะไร
แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทราบเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่แบงค์จะไม่โทรแจ้งลูกค้าในเรื่องการค้างชำระดอกเบี้ย แต่จะแจ้งเมื่อลูกค้าค้างชำระค่างวดเท่านั้น (ดอกเบี้ยคิดรายวันนะคะ)
ก่อนกลับวันนี้ เราฝากพี่เค้าไว้ว่า เราเป็นแค่พนักงานคนนึง เงินสองหมื่นสำหรับเค้าอาจจะไม่มาก แต่สำหรับเราแล้วมันเยอะมาก และยิ่งเรามีกำหนดจ่ายเงินค่างวดอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ (อีกอย่างวันนี้เราลางานเพื่อมาธนาคารโดยเฉพาะ)
เรารู้สึกกลัวกับเล่ห์เหลี่ยมของธนาคารมาก ๆ กับการออกสัญญาการเงินแบบนี้
แม้จะคิดว่าตัวเองอ่านสัญญาละเอียด อ่านดีแล้วก่อนทำการเซ็น แต่ก็นะ ท้ายที่สุดก็ต้องเสียเงิน และเดินก้มหน้าเดินออกจากแบงค์ ยอมรับในชะตากรรมต่อไป
เราได้แต่หวังว่า เนื้อหาของเราจะเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คนนะคะ และขอขอบคุณที่สละเวลาเข้ามาอ่านค่ะ
** อัพเดทรายละเอียด **
ทางธนาคารได้หลังไมค์มาหาเรา บอกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่แบงค์ติดต่อมาหาเรา (แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่เราติดต่อเค้าไว้ก่อนหน้านี้นะคะ ไม่ใช่ว่าติดต่อมาเนื่องจากกระทู้นี้ค่ะ)
อย่างไรก็ตาม จากที่พูดคุยทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ท่านนี้ ใจความก็เป็นดังเดิมค่ะ สรุปคือ ไม่สามารถช่วยอะไรได้ค่ะ เพราะตามสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนแล้ว (ซึ่งเรารับทราบตรงจุดนี้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะ) แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกขอบคุณคือ เมื่อเราทวงถามถึงเรื่อง การป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ เพื่อไม่ให้ผู้กู้รายอื่นต้องประสบแบบเรานั้น ทางเจ้าหน้าที่ท่านดังกล่าวได้แจ้งว่า ทางธนาคารไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะปรับปรุงในจุดนี้ (การให้เจ้าหน้าที่แบงค์แจ้งเตือนผู้กู้) ค่ะ
อย่างไร ก็ขอให้ทุกท่านใช้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ และระมัดระวังมากขึ้นนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากคุณ [[Jump Around]] สมาชิก Pantip.com
แสดงความคิดเห็น