แนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อโลกต้องเผชิญกับสังคมสูงอายุ “Aging Society”

แนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อโลกต้องเผชิญกับสังคมสูงอายุ “Aging Society”

Written by : Nin Yanin Phueksoongnoen

ในปัจจุบัน ประเด็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไปสู่สังคมผู้สูงอายุนั้น กำลังเป็นประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง และถูกพูดถึงกันมากในช่วงหลายปีมานี้ เพราะเรียกได้ว่าโลกทั้งโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยเฉพาะ ประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก และได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวมานานแล้ว  ซึ่งอยู่ในภาวะ Super – aged Society หรือการเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ และมีแนวโน้มว่าจำนวนประชากรสูงอายุจะทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอีกด้วย

ส่วนประเทศไทยนั้นเอง ทาง World Population Ageing โดยองค์การสหประชาชาติ ที่จัดอันดับในประเทศเอเชีย ได้พบว่าในปี 2573 ก็จะมีสัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นเป็น 19% เป็นอันดับที่ 3 รองจากประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เราจึงเห็นได้ว่ากลุ่มผู้สูงอายุจะกลายมาเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีบทบาทสำคัญในอนาคต ส่งผลให้หลากหลายธุรกิจต่างก็ต้องปรับรูปแบบของสินค้าและบริการที่เข้าถึงความต้องการของผู้สูงวัยค่ะ

สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกภาคธุรกิจที่ลุกขึ้นมาตั้งรับกับแนวโน้มที่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยนั้น มีความซับซ้อนมากกว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อคนหนุ่มสาว เพราะนอกจากจะต้องคำนึงถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยในการดำรงชีวิตแล้ว การบริหารจัดการเพื่อสร้างสังคมคุณภาพ (Community) ที่นำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดีก็มีส่วนสำคัญไม่ใช่น้อยสำหรับผู้สูงอายุเลย เพราะแน่นอนว่าเมื่อคนเราก้าวเข้าสู่การเป็นผู้สูงวัยแล้ว ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกายภาพ ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพละกำลัง การเคลื่อนไหว บาลานซ์ การได้ยิน การมองเห็น หรือระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ย่อมมีประสิทธิภาพที่ถดถอยลงอย่างชัดเจน

ซึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้อยู่ที่วิธีการออกแบบที่อยู่อาศัยเพียงเท่านั้น แต่เป็นคนที่จะอยู่อาศัยในอนาคต ซึ่งก็คือ กลุ่มคน Generation X  ที่วันนี้มีอายุมากที่สุดคือ 57 ปี (เกิดระหว่าง พศ.2504 – 2524) หรือที่เราเรียกกันว่า “คนสูงวัยรุ่นใหม่” หรือ “The Young Old” ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้นั้นจะแตกต่างจากกลุ่ม Baby Boom ทั้งพฤติกรรมที่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมือง การเดินทางที่สะดวกสบาย อยากอยู่ใกล้เพื่อน ลูกหลาน การไม่กลัวเทคโนโลยี ชอบเข้าสังคมและความพร้อมทางการเงินที่มีการวางแผนมาอย่างดี รวมถึงความชอบในอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มคน Generation X นั้นก็จะมีความแตกต่างจากคนในยุค Baby Boom จากความสอดคล้องกับพฤติกรรมและความชอบด้านอื่นๆ เช่นกันค่ะ

ทาง บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) นั้นได้เล็งเห็นความสำคัญในข้อนี้ จึงผนึกกำลังกับ บริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป – MECG) เพื่อพัฒนาโครงการ “คอนโดมิเนียมเพื่อผู้สูงวัยรุ่นใหม่” ให้สอดรับกับ Lifestyle ของกลุ่มคน Generation X ที่กำลังจะกลายเป็นผู้สูงวัยรุ่นใหม่ พร้อมแนวคิด “Intergenerational Living” ผสานความต่างของทุกเจเนอเรชั่นเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว ผ่าน 3 แกนหลักคือ

1. Rethink Space : การปรับวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยนำหลัก Universal Design เข้ามาผสมผสานในการออกแบบพื้นที่เพื่อคนทุกเจเนอเรชั่น
2. Redefine Living : การสร้างนิยามใหม่ของการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมสำหรับผู้สูงวัยรุ่นใหม่ ทั้งในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่อยู่ในเมือง (Location in Location) การเพิ่มสัดส่วนของพื้นที่ส่วนกลางที่มากขึ้นกว่าคอนโดมิเนียมทั่วไป รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในชีวิต
3. Remodeling Community : การพัฒนาโมเดลที่ส่งเสริมความสุขในการอยู่อาศัย ทั้งด้านจิตใจ และคุณค่าต่อชุมชน

นอกจากการออกแบบให้ที่อยู่อาศัยมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวันที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยทุกเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงวัยรุ่นใหม่ดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวก ช่วยเหลือตนเองได้ ลดอุบัติเหตุและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการทำกิจกรรมต่างๆ แล้วยังแตกต่างด้วยทำเลที่ตั้งที่เดินทางสะดวก อยู่ในแนวรถไฟฟ้าเชื่อมต่อกับ Lifestyle คนเมืองได้ง่ายอีกด้วย

ทาง บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) จึงได้นำทีมสถาปนิกและสื่อมวลชนไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำเอาความรู้กลับมาพัฒนาโครงการ เนื่องในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประสบการณ์ และมีความพร้อมในการรับมือต่อการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากพอสมควร อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ Solutions ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัยได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วนค่ะ

โดยประเทศญี่ปุ่นนั้นมี โมเดลการพัฒนาสังคมผู้สูงอายุ ที่ชื่อว่า “The Community – Based Integrated Care System Model” หรือแนวคิดที่ว่า บ้านของผู้สูงวัยควรจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ใกล้ๆ เช่น Health Care และ Nursing Care เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะส่งเสริมให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ใกล้บ้านผู้สูงอายุแล้ว ยังส่งเสริมให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่ที่ตัวเองคุ้นเคยได้อย่างมีความสุข นอกจากนั้นยังส่งเสริมให้มีการอยู่ร่วมกันในทุก Generation ทั้งลูกและหลาน เพื่อให้เกิดสังคมที่มีคุณภาพและไม่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดการหดหู่จากการอยู่ตามลำพังอีกด้วย

คราวนี้เรามาดูสถานที่ที่ทาง บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ ได้พาเราไปศึกษาดูงานเพื่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงวัยกันบ้าง มีทั้งหมด 4 แห่งด้วยกันดังนี้ค่ะ

Charm Premier  Fukasawa คือตัวอย่างของบ้านพักผู้สูงวัยในประเทศญี่ปุ่น บริหารจัดการโดย Charm Care Corporation ซึ่งเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ของบริษัทมิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ จำกัด (MJR) บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท Charm Premier  Fukasawa เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 มีห้องพักทั้งหมด 85 ห้อง ปัจจุบันมีผู้สูงวัยเข้าพักแล้วประมาณ 50% พื้นที่ภายในได้รับการออกแบบให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้สูงวัย โดยมีการจัดสรรให้เป็นส่วนของห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน มีการออกแบบสร้างบรรยากาศภายในรู้สึกเหมือนเป็นชุมชนของการอยู่อาศัยที่มีความสุข

ภายในบ้านพักแห่งนี้ประกอบไปด้วยห้องออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ที่พร้อมไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้สูงวัย โดยผู้ที่เข้าพักที่นี่จะได้รับการบริหารร่างกายอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ซึ่งจะเป็นการบริหารแบบกลุ่ม กลุ่มละ 2 – 3 คน พร้อมมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและดูแลเรื่องการออกกำลังกาย สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผู้สูงวัยหลายๆ คนที่ได้รับการบริหารร่างกายอย่างเป็นประจำ จากที่เคยต้องนั่งรถเข็นมาก่อนก็สามารถเดินเองได้ค่ะ

นอกจากนี้ก็ยังมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมสันทนาการ โดยภายในอาคารให้บรรยากาศเหมือนแกลเลอรี่ศิลปะ เพราะประกอบด้วยงานศิลป์ของนักศึกษามากกว่า 100 ชิ้น โดยจัดแสดงไว้ให้ผู้สูงวัยได้เสพงานศิลป์เพื่อการผ่อนคลาย ส่วนด้านนอกจัดเป็นสวน Outdoor พร้อมระเบียงไม้ให้ออกไปนั่งชมสวนได้ในวันที่อากาศดี

ทั้งนี้ ยังได้มีบริการและกิจกรรมอีกมากมายที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคลโดยมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้สูงวัยในบ้านพักแห่งนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างยั่งยืน และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต การแสดงมายากล ยิมนาสติกเพื่อการฟื้นฟูร่างกาย การออกกำลังกาย กิจกรรมทางวัฒนธรรม หรือแม้แต่เมนูอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ และอาหารมื้อพิเศษในโอกาศต่างๆ

ในภาพนี้คือเมนูอาหารที่มีการจัดเตรียมโดยเฉพาะ ความละเอียดของอาหารที่จัดให้ตามระดับของผู้สูงอายุ หากยังสามารถเคี้ยวอาหารเองได้ก็จะได้รับอาหารแบบคนปกติ หากเริ่มเคี้ยวไม่ถนัดก็จะได้รับอาหารที่ถูกทำให้ละเอียดเคี้ยวง่ายมากขึ้น จนสุดท้ายหากเคี้ยวอาหารไม่ได้แล้วก็จะปั่นละเอียดมาให้ทานเลย ซึ่งทางผู้เขียนได้ทำการชิมอาหารที่ถูกปั่นละเอียดมาแล้ว รสชาตินั้นยังอร่อยคงเดิมค่ะ และแน่นอนว่าคุณค่าทางสารอาหารต้องถูกตามหลักโภชนาการด้วย

และเนื่องจากว่าคนญี่ปุ่นนั้นชอบแช่น้ำร้อนเป็นชีวิตจิตใจ ถือเป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่สำคัญของคนญี่ปุ่นเลยค่ะ ภายในบ้านพักแห่งนี้จึงมีอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก ให้ผู้สูงอายุที่ต้องนั่งรถเข็นหรือนอนติดเตียงสามารถแช่น้ำร้อนได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่สำหรับผู้สูงอายุที่ยังสามารถเดินเหินเองได้สะดวก ก็จะมีอ่างอาบน้ำไม้ฮิโนกิ (Hinoki) ให้ใช้แช่น้ำร้อนได้ ซึ่งไม้ฮิโนกินั้นเป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น ที่มีคุณสมบัติพิเศษเรื่องกลิ่นหอมของไม้และเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ค่ะ

ส่วนห้องพักอาศัยของที่นี่จะมีการออกแบบพื้นที่เหมือนกับห้องภายในคอนโดมิเนียม มีระยะการใช้งานและฟังก์ชั่นที่สะดวกสบายเหมาะสมกับผู้สูงอายุ ซึ่งที่นี่จะมีห้องให้เลือกอยู่หลายขนาด ตั้งแต่ห้องสำหรับพักอาศัย 1 คน และห้องสำหรับพักอาศัย 2 คนสำหรับคู่สามีภรรยาค่ะ

:: Wellness Square in Fujisawa SST by Panasonic Corporation ::

Wellness Square อาคารพักอาศัยเพื่อผู้สูงวัย ตั้งอยู่ภายในโครงการ Fujisawa Sustainable Smart Town หรือ SST ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Panasonic Corporation ถูกพัฒนามาจากแนวคิด “The Community – Based Integrated Care System Model” ที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่ถึงแม้จะมีอายุมากแล้วแต่ก็ยังอยู่ในที่ที่ตัวเองคุ้นเคยได้อย่างมีความสุข ภายในโครงการประกอบด้วย บ้านเดี่ยว Smart House กว่า 600 หลัง คอนโดมิเนียม 400 ห้อง พร้อม Facilities ต่างๆ ทั้ง ร้านค้า ร้านอาหาร ห้องสมุด สวนสาธารณะ บริการจัดส่งเอกสารและสิ่งของ ฯลฯ รวมถึงตัว Wellness Square ค่ะ

ภายใน Wellness Square ประกอบด้วย 2 อาคาร คือ North และ South พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดที่ว่า ปฎิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีย่อมส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ที่นี่จึงพัฒนาให้สามารถรองรับบุคคลได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงวัย โดยมีแนวคิดส่งเสริมการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของคนทุกเพศทุกวัยเพื่อลดช่องว่างระหว่างวัย โดยพื้นที่หลักของ Wellness Square มุ่งเน้นไปที่การใช้สอยของผู้สูงวัย และยังประกอบไปด้วยบริการอื่นๆที่สามารถเชื่อมโยงคนทุกเพศทุกวัยเข้าไว้ด้วยกัน เช่น บ้านพักผู้สูงวัย คลินิกตรวจรักษาสุขภาพ ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย ห้องจัดกิจกรรม และ อื่นๆ

ในส่วนของคลีนิกรักษาสุขภาพนั้น มีการนำเนคโนโลยีมาใช้เพื่อบันทึกและเชื่อมโยงทุกข้อมูลของผู้พักอาศัย ทั้งจากโรงพยาบาล ศูนย์กีฬา ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลเกี่ยวกับยา และข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นไว้ในฐานข้อมูลที่สามารถนำมาเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา เพื่อแก้ปัญหาการขาดความเชื่อมโยงของข้อมูลที่จำเป็นและข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้การรักษาล่าช้า

ภาพผังโครงการ Fujisawa Sustainable Smart Town หรือ SST สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์ https://fujisawasst.com/EN/town/

ภาพบรรยากาศภายในโครงการ Fujisawa Sustainable Smart Town ประกอบไปด้วยบ้านจัดสรรหรือ Smart House กว่า 600 หลัง เป็นบ้านที่มีเทคโนโลยีต่างๆ อำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยค่ะ ขนาดเหมาะสำหรับการอยู่แบบเป็นครอบครัวรวมทั้ง 3 เจเนอเรชั่น

เรามาดูบรรยากาศภายใน Wellness Square กันบ้างค่ะ เริ่มตั้งแต่ทางเข้าก็จะมีชั้นเก็บรองเท้าและชั้นสำหรับวางไม้เท้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

บรรยากาศภายในโรงอาหารที่ชั้น 2 มีบริการอาหารหลากหลายประเภทให้สามารถเลือกทานได้ รวมถึงสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะทานอาหารเป็นชิ้นหรือทานอาหารเหลวตามความสามารถในการเคี้ยวของแต่ละคน ความพิเศษของที่นี่ก็คือมีบริการส่งข้าวกล่องให้คนภายในโครงการที่อยู่ตามบ้านจัดสรรด้วยนะ ซึ่งจุดนี้ทางโครงการตั้งใจสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี รวมถึงเป็นการคอยเช็คดูแลความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุในแต่ละบ้านอีกด้วย

บริเวณแพนทรี่สำหรับเตรียมอาหารและอุ่นอาหาร

บริเวณจุดรับอาหาร เตรียมเอาไว้ให้ใส่ถาดเรียบร้อยพร้อมทานค่ะ

สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดหรืออยู่ตัวคนเดียว ก็สามารถเลือกที่จะอยู่ในห้องพักอาศัยภายในอาคาร Wellness Square แทนที่จะอยู่ใน Smart House กับครอบครัวได้ค่ะ 

ภายในอาคารก็มี Facilities ในการรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุด้วย เช่น ภายในห้องน้ำนั้นก็มีการออกแบบฟังก์ชั่นมาให้อย่างเหมาะสม

และแน่นอนว่ามีห้อง Laundry ในโครงการไว้ให้บริการด้วยเช่นกันค่ะ

:: Mitsubishi Estate Home (MEH) ::

Mitsubishi Estate Home (MEH) ดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านและรีโนเวทที่อยู่อาศัยโดยมีมาตรฐานการออกแบบที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงวัย ด้วยความเชี่ยวชาญในธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย ผนวกกับความร่วมมือกับพันธมิตรในการรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาซึ่งความสะดวก ปลอดภัย และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งแน่นอนว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยมีความซับซ้อนมากกว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป เนื่องจากจำเป็นต้องคำนึงถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยในการดำรงชีวิต ภายใต้แนวคิดหลักในการออกแบบที่เหมาะกับผู้อยู่อาศัยทุกวัย (Universal Design) เช่น การออกแบบให้มีสิ่งกีดขวางบนพื้นให้น้อยที่สุด การติดตั้งราวจับ เพื่อความปลอดภัยในการเคลื่อนไหวของผู้สูงวัย การออกแบบประตูทางเข้าให้มีความกว้างมากกว่าปกติ หรือการจัดวางระบบไฟส่องสว่างทั้งเวลากลางวันและกลางคืน รวมถึงการบริหารจัดการอุณหภูมิภายในบ้านให้เหมาะสมตลอดทั้งวัน เป็นต้น

ภาพนี้เป็นรายละเอียดของแปลนบ้านในส่วนต่างๆ ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 ซึ่งบ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาให้รองรับการอยู่อาศัยแบบ 3 เจเนอเรชั่นเลยค่ะ จากทางเข้าบ้านจะเชื่อมสู่ Entrance Hall ซึ่งแบ่งไปทางปีกซ้ายของบ้านเป็นส่วน Common Area และส่วนปีกขวาของบ้านเป็นห้องนอนของผู้สูงวัยที่มีห้องนั่งเล่นและห้องน้ำอยู่ภายในตัว พอขึ้นไปยังชั้น 2 ก็จะเป็นส่วนของห้องนอนทั้ง 3 ห้อง ห้องน้ำ ห้องซักรีด พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์บริเวณโถงบันไดที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามต้องการ เดี๋ยวเราจะเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ภายในตัวบ้านด้วยกันเลย

เริ่มจากประตูทางเข้าบ้านนั้นใช้ประตูบานเปิดคู่ ซึ่งประตูบานเล็กทางฝั่งซ้ายจะไว้ใช้เปิดเมื่อต้องทำการขนของขนาดใหญ่เข้าบ้าน สังเกตที่พื้นเฉลียงก็ปูด้วยวัสดุแบบ Non – slip Surface

ภายใน Entrance Hall ออกแบบพื้นยกระดับ เป็นส่วนที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “เก็งคัง” (Genkan) ไว้สำหรับถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เพื่อให้พื้นที่อยู่อาศัยภายในบ้านสะอาด เหมือนวัฒนธรรมของคนไทยเลยค่ะ สังเกตว่าที่ผนังด้านข้างประตูทางเข้าส่วน Common Area ได้ติดราวจับสำหรับผู้สูงวัยเวลาเดินขึ้นพื้นต่างระดับให้ด้วย นอกจากนี้ในส่วน Entrance Hall ออกแบบให้มีเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเอาไว้สำหรับชำระล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรก หรือสัตว์เลี้ยงก่อนเข้าบ้านให้ด้วย เป็นจุดหนึ่งที่สะดวกมาก

จาก Entrance Hall เราเข้ามาดูในส่วนของ Common Area กันต่อ ประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัว ซึ่งส่วนนี้ออกแบบให้เป็นพื้นที่ใช้สอยที่เปิดโล่งเชื่อมต่อกัน โดยเฉพาะในส่วนของห้องนั่งเล่นออกแบบให้มีฝ้าเพดานที่สูงโปร่ง

ภาพบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่น ออกแบบให้มีพื้นที่โปร่งโล่ง ล้อมรอบด้วยกระจกบานใหญ่จึงได้รับแสงสว่างจากภายนอกอย่างเพียงพอ มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเหมาะสำหรับให้คนในครอบครัวมานั่งพักผ่อนและใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

จากห้องนั่งเล่นจะเชื่อมต่อกับห้องรับประทานอาหารและห้องครัว การออกแบบให้พื้นที่ใช้สอยมีความต่อเนื่องกันแบบนี้ นอกจากจะได้ประโยชน์ในแง่ของความ Flow ของฟังก์ชั่นแล้ว ยังได้ประโยชน์ในแง่ของความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอีกด้วย อย่างเช่น คุณพ่อกำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงห้องนั่งเล่น ก็ยังสามารถพูดคุยกับคุณย่าและลูกที่กำลังดื่มน้ำชาทานของว่างอยู่ตรงโต๊ะอาหาร และพูดคุยคุณแม่ที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ตรงห้องครัวได้

ห้องครัวภายในบ้านหลังนี้ทางโครงการได้ทำเฟอร์นิเจอร์ Built – in แบบ Full Function มาให้พร้อมกับตัวบ้านเลย ซึ่งทีมสถาปนิกของที่นี่เขาได้ทำการออกแบบชุดครัวนี้มาเป็นพิเศษเพื่อให้เหล่าแม่บ้านสามารถใช้งานได้สะดวกเพลิดเพลินกับการทำครัวอย่างแท้จริง มีพื้นที่เก็บของมีเพียงพอสามารถจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยได้ รวมถึงออกแบบให้มีโต๊ะ – เก้าอี้สำหรับนั่งอ่านศึกษาเมนูอาหารด้วยนะคะ และแน่นอนว่าระยะทางเดินระหว่างตู้และเคาน์เตอร์ทุกจุดนั้นกว้างเพียงพอที่รถเข็นของผู้สูงอายุจะสามารถเข็นผ่านได้ แม้จะเปิดหยิบของในตู้อยู่ เพราะหน้าบานตู้ถูกออกแบบให้เปิดซ่อนเข้าไปที่ด้านข้างของตู้ได้

สังเกตบริเวณด้านหลังห้องครัวจะมีประตูบานเลื่อนเชื่อมต่อกับโถงทางเดินไปสู่ห้องน้ำชั้นล่างได้ด้วย

มุมเตรียมอาหาร อ่างล้างจาน พร้อมเขียง และตะแกรงสะเด็ดน้ำสำหรับเตรียมผักผลไม้ สังเกตบริเวณใต้เคาน์เตอร์จะมีแท่นเหยียบเพื่อเปิด – ปิดฟังก์ชั่นเสริมในยามที่มือไม่ว่าง

มุมปรุงอาหารมาในรูปแบบของเตา Induction และ Hood ดูดควัน ข้างๆ กันคือมุมนั่งศึกษาตำราอาหาร ออกแบบให้อยู่ติดกับบานกระจกขนาดใหญ่ เพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการอ่านหนังสือแม้ไม่ได้เปิดไฟ

ด้านหลังห้องครัวจะมีประตูบานเลื่อนเชื่อมต่อกับโถงทางเดินไปสู่ห้องน้ำชั้นล่างได้ ซึ่งประตูภายในบ้านบริเวณชั้น 1 นั้นใช้ประตูบานเลื่อนทั้งหมด เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นสามารถเปิด – ปิดประตูได้สะดวก รวมถึงระดับพื้นในบ้านชั้น 1 เองก็จะไม่ทำพื้นต่างระดับเลย เพื่อเอื้อต่อการใช้รถเข็นและลดการเกิดอุบัติเหตุค่ะ ให้เราลองสังเกตจากพื้นห้องครัวออกไปยังพื้นโถงทางเดินสู่พื้นภายในห้องน้ำ ก็มีระดับเท่ากันทั้งหมด

ภายในห้องน้ำถูกออกแบบมาให้พื้นเสมอกันทั้งหมด ไม่มีจุดที่ทำพื้นลดระดับเลยเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถเข็นรถเข็นเข้ามาเองได้สะดวก สังเกตที่บริเวณเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้านั้นถูกออกแบบมาให้ต่ำกว่าระดับปกติ แต่เป็นระดับที่ผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นสามารถใช้งานได้สะดวก ส่วนบริเวณด้านข้างโถสุขภัณฑ์ก็ติดตั้งราวจับสำหรับผู้สูงอายุมาให้เรียบร้อย

พื้นที่อาบน้ำกั้นด้วยประตูบานเลื่อนทึบ ได้ความเป็นส่วนตัวเวลาอาบน้ำ ซึ่งภายในส่วนอาบน้ำถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วน Shower ที่มีม้านั่งอาบน้ำให้ และส่วนอ่างอาบน้ำที่เป็น THE MUST ในบ้านของคนญี่ปุ่น สังเกตที่พื้นในส่วนอาบน้ำปูด้วยวัสดุที่มีผิวค่อนข้างขรุขระเพื่อกันลื่น ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุในห้องน้ำของผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยเป็นอันดับต้นๆ เลยค่ะ

และจากส่วน Entrance Hall ไปทางฝั่งขวามือจะเชื่อมต่อกับห้องนอนของผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ได้ออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับนอนพักผ่อนเพียงอย่างเดียว แต่ยังออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถมานั่งรวมตัวกันได้ หรือในวันที่มีเพื่อนของผู้สูงอายุมาเยี่ยมก็สามารถใช้พื้นที่รองรับแขกได้เลยในตัว โดยออกแบบให้พื้นที่นั่งเล่นเป็นแบบนั่งกับพื้นบนเสื่อทาทามิ (Tatami) ตามรูปแบบเดิมของบ้านญี่ปุ่นที่ผู้สูงอายุคุ้นเคยดี อีกทั้งยังมีช่องหน้าต่างระดับล่าง เวลานั่งกับพื้นบนเสื่อทาทามิมองออกไปก็จะเห็นสวนหินสไตล์ Zen ผ่านผนังตกแต่งที่เลียนแบบลายไม้ไผ่ ถ้าวันไหนที่มีแขกมาก็สามารถกั้นพื้นที่ห้องปิดส่วนเตียงนอนด้วยประตูบานเฟี้ยมได้เพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ

สังเกตที่ด้านข้างประตูบานเลื่อนฝั่งหน้าบ้าน (สามารถใช้เป็นทางเข้าสู่ห้องนอนโดยตรงได้เลยเช่นกัน) ออกแบบให้เป็นเคาน์เตอร์เล็กๆ ที่ซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานเอาไว้ รวมถึงอ่างล้างมือด้วย สามารถใช้เป็นจุดเตรียมน้ำชาและเครื่องดื่มง่ายๆ ได้ค่ะ

พื้นที่ภายในส่วนพักผ่อนนั้นจริงๆ สามารถจัดวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตได้เลย แต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่ต้องใช้รถเข็นจะต้องวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตแทนเพื่อให้เหลือระยะสำหรับรถเข็นโดยรอบเตียงนอน ซึ่งพื้นที่ห้องนี้จะเชื่อมต่อกับห้องน้ำชั้นล่างที่เราเข้าไปชมกันแล้วเมื่อสักครู่ค่ะ

คราวนี้เราขึ้นมาดูพื้นที่บนชั้น 2 กันต่อ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้สูงอายุอาจจะไม่ได้ขึ้นมาใช้งานแล้ว พอเราเดินขึ้นมาบนชั้น 2 แล้วจะเจอกับโถงบันไดที่เชื่อมต่อไปยังห้องนอน 3 ห้อง ห้องน้ำ ห้องซักรีด และพื้นที่อเนกประสงค์ ในส่วนของพื้นที่อเนกประสงค์นี้จะอยู่บริเวณฝั่งหน้าบ้านซึ่งมีประตูบานเฟี้ยมสามารถเลื่อนปิดเพื่อกั้นส่วนได้

พื้นที่อเนกประสงค์ส่วนนี้ถือเป็นจุด Free Style ปรับเปลี่ยนเป็นฟังก์ชั่นอะไรก็ได้แล้วแต่ผู้อยู่อาศัยค่ะ ซึ่งก็มีพื้นที่ใช้สอยถึง 13.8 ตร.ม. เลย

พื้นที่ฝั่งตรงข้ามกับห้องอเนกประสงค์หรือฝั่งหลังบ้านนั้นถูกออกแบบให้เป็นห้องซักรีด ซึ่งจะเชื่อมต่อกับห้องน้ำชั้นบน และ Walk – in Closet ของ Master Bedroom ได้ด้วย เนื่องจากบ้านหลังนี้มีระบบควบคุมอุณหภูมิจึงสามารถตากผ้าในบ้านได้ ผนังบริเวณนี้ออกแบบเป็นอิฐบล็อกแก้วที่ให้แสงสว่างแต่ยังได้ความเป็นส่วนตัวด้วย โดยทางโครงการได้ทำชุด Built – in ที่สามารถใช้เก็บของและซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ เอาไว้ให้อย่างเป็นระเบียบ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะรีดผ้าก็สามารถดึงลิ้นชักออกมาก็จะกลายเป็นที่รองสำหรับรีดผ้าค่ะ

บริเวณฝ้าเพดานติดราวตากผ้าเอาไว้ให้ ซึ่งเราไม่ต้องเอื้อมมือขึ้นไปแขวนเองนะ เราสามารถเกี่ยวราวลงมาเพื่อแขวนเสื้อแล้วดึงราวกลับขึ้นไปได้

จากบริเวณโถงบันไดเชื่อมสู่ห้อง Master Bedroom มีขนาดใหญ่กำลังดี สามารถวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตและเหลือพื้นที่เป็นทางเดินโดยรอบเตียงได้สะดวก สังเกตว่าช่องแสงของห้องนอนจะค่อนข้างอยู่สูง ซึ่งจุดนี้เป็นความละเอียดของทีมสถาปนิกญี่ปุ่นที่ออกแบบมาให้แสงแดดไม่แยงตาเวลานอนค่ะ

พื้นที่บริเวณด้านหลังหัวเตียงทำเป็น Walk – in Closet พร้อมโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้จะเชื่อมต่อกับห้องซักรีดและเดินตรงต่อไปเชื่อมกับห้องน้ำได้

ห้องน้ำชั้นบนมีการแยกส่วนแห้งส่วนเปียกเป็นสัดส่วนไม่ต่างจากห้องน้ำชั้นล่าง แต่จะไม่มีการติดตั้งราวจับสำหรับผู้สูงอายุ เคาน์เตอร์อ่างล้างมือติดตั้งตามระดับปกติ และจะแยกโถสุขภัณฑ์ออกไปไว้อีกห้องหนึ่งเพื่อลด Traffic การใช้งานลง ห้องน้ำชั้นบนจึงเหมาะกับการใช้งานของอีก 2 เจเนอเรชั่นมากกว่า

ซึ่งบนเคาน์เตอร์นั้นติดตั้งอ่างล้างมือ 2 แบบ เพื่อรองรับการใช้งาน 2 ฟังก์ชั่น

บริเวณด้านหลังกระจกเงาและใต้เคาน์เตอร์ก็สามารถใช้เก็บของได้ทั้งหมด

พื้นที่ส่วนอาบน้ำกั้นส่วนด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย เป็นประตูบานเปิด สามารถแขวนผ้าเช็ดตัวที่ราวมือจับข้างนอกได้

ภายในส่วนอาบน้ำก็มีทั้ง Shower และอ่างอาบน้ำเหมือนห้องน้ำชั้นล่างค่ะ พื้นก็ยังใช้เป็นวัสดุแบบ Non – slip Surface อยู่ แต่จะไม่ได้ขรุขระเหมือนห้องน้ำชั้นล่างนะ

สุดท้ายตามด้วยห้องนอนของเด็กค่ะ ทางโครงการออกแบบห้องนี้ให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง เหมาะกับพฤติกรรมที่ซุกซนและต้องการพื้นที่ส่วนตัวของเด็ก อย่างชั้นล่างก็เป็นพื้นที่สำหรับการเรีบนรู้ นั่งทำการบ้าน อ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรกของตัวเอง

และทำพื้นที่ชั้นลอยขึ้นไปเป็นเตียงนอนส่วนตัวให้ดูเป็นไอเดีย หรือจะวางเตียงนอนเอาไว้ที่ชั้นล่างแบบปกติก็ได้

และเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีฤดูที่หลากหลาย ร้อนก็ร้อนมาก หนาวก็หนาวมาก ฝนก็ตกค่อนข้างบ่อย ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุป่วยกันได้ง่าย บ้านหลังนี้จึงออกแบบให้มีระบบควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ ซึ่งอุณหภูมิที่เท่ากันตลอด เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ

บวกกับการใช้ผนัง Insulated Wall Panel ที่ช่วยกันความร้อนและความเย็นจากสภาพอากาศของประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี

:: NODA Corporation ::

และที่สุดท้ายสำหรับการศึกษาดูงานก็คือ NODA Corporation เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุปูพื้นชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน และความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยของผู้สูงวัย จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการอยู่อาศัยของผู้สูงวัยขึ้น อันเริ่มต้นจากการทำวิจัยและพัฒนาโดยได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ และนำความชำนาญของตนในฐานะผู้ผลิตวัสดุปูพื้น มาพัฒนาเป็น ‘นวัตกรรมวัสดุปูพื้นที่ช่วยลดแรงกระแทก’ (Shock Absorbing Floor) ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย

และนี่ก็คือวัสดุปูพื้นที่ช่วยลดแรงกระแทก (Shock Absorbing Floor) ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการรองรับแรงกระแทกและให้ความอบอุ่นเมื่อสัมผัส

อีกหนึ่ง Hi – light ภายใน NODA Showroom คือ การจำลองประสบการณ์สูงวัยให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัส ด้วยการสวมชุดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ สัมผัสประสบการณ์เสมือนเป็นผู้สูงวัย ที่อยู่อาศัยภายในบ้านที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “ปลอดสิ่งกีดขวาง (Barrier Free)” คือการออกแบบทางเดินให้ราบเรียบ ไร้ขั้นบันไดหรือทางต่างระดับ หรือมีบันไดน้อยที่สุด

นอกจากนี้ทาง NODA Corporation ยังออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวก และผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้ผู้สูงวัยดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวก ช่วยเหลือตนเองได้ ลดอุบัติเหตุและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ พื้นบ้านที่สามารถกันการลื่นหกล้ม และช่วยลดแรงกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุ ประตูบ้านภายใต้แนวคิด Universal Design ที่สามารถผลักออกได้ไม่ว่าจะอยู่ทั้งภายใน และภายนอกห้อง และถึงแม้อยู่ในพื้นที่จำกัดประตูนี้ก็ยังสามารถเปิดได้กว้างและยังสามารถติดตั้งราวจับได้ด้วย ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัยที่ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน หรือรถเข็น

ยกตัวอย่างเช่น ตำแหน่งของสวิตช์และปลั๊กไฟที่ควรออกแบบและติดตั้งมาในระยะที่ผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นสามารถใช้งานได้สะดวก

มือจับประตูบานเลื่อนแบบที่ผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นสามารถจับเลื่อนเองได้ง่ายไม่ต้องออกแรงเยอะมาก

ส่วนระยะของช่องประตูก็ควรกว้างถึง 1.00 เมตร รถเข็นจึงจะสามารถเข็นผ่านได้สะดวก อย่างช่องประตูทั่วไปจะกว้างเพียง 0.9 เมตรเท่านั้นหรือน้อยกว่าค่ะ

ประตูบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ช่วยลดน้ำหนักของบานประตูลงได้ทำให้สามารถเลื่อนเปิดได้ง่ายขึ้น เป็นการติดตั้งประตูด้วยการแขวนที่รางบนวงกบประตู ทำให้ที่พื้นเรียบเสมอกัน สามารถใช้รถเข็นได้สะดวก ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้แม้กระทั่งกับคนในวัยธรรมดา

รอบๆ ประตูทางเข้าห้องติดตั้งราวจำสำหรับผู้สูงวัย ซึ่งที่ประตูออกแบบให้มีเฟรมสำหรับใส่รูปภาพของคนที่ผู้สูงอายุรักอย่างลูกๆ หลานๆ ช่วยในเรื่องของความทรงจำ เพราะผู้สูงอายุหลายๆ ท่านก็เริ่มจะความจำเสื่อมและจำห้องของตัวเองไม่ได้ การใช้รูปของคนที่รักจะเป็นการช่วยย้ำเตือนความทรงจำได้เป็นอย่างดีค่ะ

ประตูบานเลื่อนแบบที่ติดตั้ง Senser เอาไว้ที่ด้านบน เวลาที่ผู้สูงอายุเข็นรถเข็นมาอยู่ที่หน้าประตู ประตูจะสามารถเลื่อนเปิดเองได้อัตโนมัติ

ประตูห้องน้ำที่ถูกออกแบบให้มีช่องเปิดที่กว้างเพื่อรองรับรถเข็นของผู้สูงอายุ ชุดนี้เป็นบานเลื่อนเปิดคู่ออกไปด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง และมีช่องเปิดตรงกลางเกิน 1.00 เมตร

ส่วนชุดนี้เป็นเลื่อน 1 บานและอีกบานหนึ่งเป็นบานเปิด ซึ่งมีมีช่องเปิดตรงกลาง 1.00 เมตรพอดี

ระยะการใช้งานต่างๆ ภายในห้องน้ำ ใน NODA Showroom มีระบุให้มาอย่างละเอียดมากๆ แต่สำหรับผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นจะต้องมีระยะการใช้งานภายในห้องน้ำอยู่ที่ 1.70 x 1.70 เมตร ถึงจะสามารถเคลื่อนที่และหมุนรถเข็นได้สะดวก

บันไดที่ปรับให้ความชันลดลง หน้ากว้างมากขึ้น พร้อมแถบเรืองแสงสำหรับยามกลางคืน และออกแบบให้ไม่มีขั้นบันไดแบบสามเหลี่ยมซึ่งทำให้เดินยากและเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า

พื้นที่ต่างระดับ ทาง NODA Showroom ออกแบบให้พื้นมีสีที่ต่างกัน เพื่อช่วยเรื่องการมองเห็นของผู้สูงอายุที่มีสายตาพร่าเลือน รวมถึงทำ Step หรือที่นั่งในระยะที่ผู้สูงวัยจะมานั่งใส่รองเท้าได้สะดวก

จุดนั่งพักสำหรับใส่รองเท้าบริเวณหน้าบ้าน สามารถเปิดใช้งานได้สะดวกและพับเก็บได้ช่วยประหยัดพื้นที่ได้ดี จึงไม่ต้องก้มใส่รองเท้าซึ่งอาจทำให้เสียการทรงตัวได้

จากการศึกษาดูงานกับ AP ในครั้งนี้ทางทีมงานได้ความรู้และความเข้าใจ และตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไปสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็น การพัฒนาเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรโลกในอนาคตโดยตรง เพราะในวันหนึ่งทุกๆ คนก็ต้องก้าวสู่วัยสูงอายุ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีลูกๆ หลานๆ มาคอยดูแลเหมือนสมัยก่อน เรียกว่าในอนาคตผู้สูงอายุจะต้องอยู่ได้ด้วยตนเองและช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด รวมถึงช่วยเหลือผู้สูงอายุคนอื่นๆ ที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้

ในอนาคตเราน่าจะได้เห็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ Community และคอนโดมิเนียม ที่มีการออกแบบที่น่าสนใจตามพฤติกรรมของคนในเจเนอเรชั่นต่างๆ แต่ยังคงอยู่ในพื้นฐานการออกแบบตามหลัก Universal Design ค่ะ