เมื่อเครื่องปรับอากาศกลายเป็นสิ่งที่จำเป็น กับ 10 ข้อต้องรู้ เพื่อให้บ้านเย็นฉ่ำ ป้องกัน PM2.5
Written by : Yanin Phueksoongnoen
“อากาศร้อน” นับว่าเป็นของคู่กับประเทศไทยของเรามาไม่เคยเปลี่ยน นั่นเป็นเพราะว่าโลเคชั่นของบ้านเราตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรนั่นเองค่ะ พอถึงหน้าร้อนทีไรเรียกว่าแทบขาดใจกันไปเลยทีเดียว ยิ่งเดี๋ยวนี้อากาศร้อนขึ้นทุกปีๆ การออกแบบทางสถาปัตยกรรมก็เป็นส่วนหลักๆ ในการแก้ไขปัญหาอากาศร้อนเพื่อให้บ้านอยู่สบาย ไม่ว่าจะเป็นการวางทิศทางของบ้านตามดวงอาทิตย์ การออกแบบชายคาที่ยาวช่วยกันแดดโดยตรง ใช้หลังคาทรงสูงมี Gap ระหว่างหลังคาและฝ้าเพดานเพื่อระบายอากาศร้อน การออกแบบบ้านให้โปร่งโล่งมีช่องเปิดเยอะเพื่อให้ถ่ายเทอากาศได้ดี หรือแม้แต่การที่ใช้วัสดุที่ช่วยกันและสะท้อนความร้อน เป็นต้น แม้จะพอทุเลาความร้อนลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบ้านเกือบทุกหลังคาเรือนยังคงต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศในการคลายร้อนกันอยู่ดี
ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤต PM2.5 ทางกระทรวงสาธารณะสุขถึงกับแนะนำให้ปิดประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่ให้เข้าสู่ภายในบ้าน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ สภาพอากาศบ้านเราที่ร้อนชิ้นนั้น ในห้องปิดก็จะยิ่งร้อนอบอ้าวกว่าเดิม และภายในห้องจะไม่สามารถถ่ายเทอากาศได้ ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือ Fresh Air ทำให้ภายในบ้าน มีกลิ่นอับ เกิดเชื้อราและเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย และยังทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นอีกด้วย เนื่องจากร่างกายของคนเราจะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากขึ้นในอุณหภูมิที่สูงขึ้น
เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าเครื่องปรับอากาศเนี่ยได้ก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น เพราะนอกจากจะสร้างความเย็นช่วยคลายร้อนแล้วก็ยังช่วยกรองอากาศให้ดีขึ้น หรือเป็นผู้ช่วยที่ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อีกด้วย
ถ้าพูดเปรียบเทียบให้เครื่องปรับอากาศเป็นคนคนนึง เราก็ต้องมองหาคนที่เหมาะสมกับงาน สามารถทำงานได้ดี รวดเร็ว อึดทนไม่งอแง คุยกันรู้เรื่อง และค่าจ้างสมเหตุสมผล ฉันใดก็ฉันนั้นเครื่องปรับอากาศก็เช่นกันค่ะ เราก็ต้องมีเคล็ดลับในการเลือกเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรา อีกทั้งยัง เย็นเร็ว ทนทาน ประหยัดไฟ พร้อมปรับสภาพอากาศให้บริสุทธิ์ ดัง 10 ข้อต้องรู้ต่อไปนี้
1.เลือกประเภทเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับการใช้งาน
อย่างแรกเลยคือเราต้องพิจารณาก่อนว่าเราจะใช้เครื่องปรับอากาศกับงานอะไรและใช้งานที่ไหน เพราะงานและสถานที่ที่ต่างกันก็จะเหมาะกับเครื่องปรับอากาศต่างชนิดกัน โดยเครื่องปรับอากาศจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 ชนิดด้วยกันดังนี้ค่ะ
- แบบติดผนัง (Wall Type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่มีราคาที่ไม่แพง รูปลักษณ์การดีไซน์ที่ทันสมัย มีขนาดกระทัดรัด ยิ่งรุ่นใหม่ๆ ยังออกแบบมาให้ช่วยประหยัดไฟ เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่น้อย อย่าง ห้องนอน และห้องรับแขก รวมทั้งห้องในคอนโดทั่วไป จึงทำให้ได้รับคะแนนความนิยมสูง
- แบบตั้งพื้น (Ceiling Type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่มีการกระจายความเย็นได้ดีและมีความทนทาน แต่จะสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าแบบอื่น เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ โรงงาน หรือพื้นที่อาศัยที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น
- แบบแขวนใต้ฝ้า (Floor Type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่มีเหมาะสำหรับห้องหลายขนาด ไม่ว่าจะเป็นห้องที่มีพื้นที่เล็กหรือห้องที่มีพื้นที่ใหญ่ อย่าง อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร ห้องประชุม เป็นต้น
- แบบฝังเพดาน (Concealed Type) เป็นเครื่องปรับอากาศที่ติดอยู่ภายในฝ้าเพดาน แล้วใช้การต่อท่อลมเพื่อส่งลมมายังจุดที่กำหนด เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการเน้นความสวยงาม เพราะเมื่อติดแล้วจะไม่ค่อยเห็นตัวเครื่อง ราคาเครื่องและราคาติดตั้งจึงค่อนข้างสูงกว่าแบบอื่น
- แบบสี่ทิศทาง (Cassette Type) เป็นแอร์ที่ติดตั้งในแบบฝังซ่อนบนฝ้าเพดาน เหมาะสำหรับออฟฟิศ สำนักงาน ร้านอาหาร และครัวเรือน ซึ่งจะเห็นเพียงหน้ากากเรียบๆ เพียงอย่างเดียว เป็นแอร์คุณภาพสูง ส่งลมเย็นได้ทั่วถึง เย็น เงียบ ประหยัดไฟ แต่มีราคาที่สูงขึ้นมาหน่อย
2.วิธีการคำนวณขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับพื้นที่ห้องอย่างง่าย
การเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับพื้นที่ห้องนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญนะคะ เราต้องรู้ว่าขนาดห้องแต่ละห้องเหมาะสมกับความสามารถในการทำความเย็นหรือค่า BTU เท่าไหร่ เพราะถ้าเราเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU ต่ำไป ก็จะทำให้อากาศไม่เย็น อีกทั้งยังเปลืองไฟเพราะเครื่องต้องทำงานหนัก เป็นผลทำให้เครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ หรือถ้าเราเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินไป ก็จะทำให้เปลืองไฟและเปลืองเงินค่าเครื่องเกินสมควร ทั้งนี้เรามีสูตรสำหรับการคำนวณค่า BTU ง่ายๆ มาฝากกันดังนี้ค่ะ
BTU = ((ความกว้างห้อง(เมตร) x ความยาวห้อง(เมตร) x ความสูงห้อง(เมตร)) x ตัวแปร)/3
ค่าตัวแปรที่เราใช้นั้นจะยิ่งมีค่าสูงขึ้นเมื่อห้องต้องสัมผัสความร้อนมากขึ้น
- 750 : สำหรับห้องนอนปกติ (ไม่โดดแดด)
- 800 : สำหรับห้องนอนปกติ (โดดแดด)
- 850 : สำหรับห้องทำงาน (ไม่โดดแดด)
- 900 : สำหรับห้องทำงาน (โดดแดด)
- 950 – 1,100 : สำหรับร้านอาหาร ร้านทำผม มินิมาร์ท ร้านค้า สำนักงาน (ไม่โดดแดด)
- 1,000 – 1,200 : สำหรับร้านอาหาร ร้านทำผม มินิมาร์ท ร้านค้า สำนักงาน (โดดแดด)
เรามาดูตัวอย่างการคำนวณกันเลยค่ะ ถ้าเราต้องการติดเครื่องปรับอากาศภายในห้องนอนปกติที่โดนแดด โดยห้องมีขนาด กว้าง 4 เมตร, ยาว 7 เมตร, สูง 3 เมตร
เราก็นำเข้าสูตรข้างต้นได้เลย BTU = (( 4 x 7 x 3 ) x 800)/3 = 22,400
เพราะฉะนั้น เราควรเลือกใช้เครื่องปรับอากาศขนาด 22,000 BTU (ค่า BTU สามารถบวก – ลบได้ไม่เกิน 1,000 BTU นะ) เห็นไหมคะว่าง่ายมากๆ เลย คำนวณแค่นาทีเดียวก็รู้ขนาดเครื่องที่เหมาะสมกับห้องของเราแล้ว
*แต่ถ้าห้องของเรานั้น มีขนาดของประตูหรือหน้าต่างกระจกที่ใหญ่ มีความถี่ในการเปิด – ปิดประตูและ เข้า – ออกบ่อยครั้ง มีจำนวนคนในห้องหรือมีจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องเยอะ ก็ควรจะพิจารณาเลือกค่าตัวแปรที่สูงขึ้นอีกนะ
3.รู้จักค่า EER และ SEER และระบบ Inverter เพื่อให้ได้เครื่องปรับอากาศที่กินไฟน้อยประหยัดพลังงาน
ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) คือ ค่าประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศในการใช้พลังงาน ซึ่งเราวัดจากความสามารถในการทำความเย็น (BTU/h) ต่อกำลังไฟที่ใช้ไปหรือกำลังวัตต์ (W) สรุปก็คือถ้าค่า EER ยิ่งสูงแสดงว่าเครื่องปรับอากาศเครื่องนั้นยิ่งกินไฟน้อยค่ะ โดยปัจจุบันค่า EER จะอยู่ที่ 11 ถ้าแอร์รุ่นไหนมีค่า EER สูงกว่า 11 ขึ้นไป ก็จัดว่าเป็นเครื่องปรับอากาศที่ผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หรือฉลากเบอร์ 5 นั่นเอง
ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) คือ ค่าประสิทธิภาพในการใช้พลังงานตามฤดูกาลของเครื่องปรับอากาศ โดยจะนำค่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศมาพิจารณาร่วมด้วย จึงมีความใกล้เคียงกับสภาพการใช้พลังงานจริงมากขึ้นกว่าแบบ EER โดย SEER ใช้วัดค่ากับเครื่องปรับอากาศชนิด Inverter หรือ Variable Speed ได้ค่าวัดสูงแสดงว่าเครื่องปรับอากาศเครื่องนั้นยิ่งกินไฟน้อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องปรับอากาศในท้องตลาดรุ่นใหม่จะเป็นชนิด Inverter ซึ่งช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้นเยอะเลย
แล้วระบบ Inverter แตกต่างจากแอร์ระบบธรรมดาอย่างไรล่ะ? มันต่างกันตรงที่ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความเย็นค่ะ
ระบบ Inverter สำหรับระบบนี้เมื่ออุณหภูมิถึงจุดที่ต้องการแล้ว คอมเพรสเซอร์จะลดรอบการทำงานให้ต่ำลงแต่ไม่หยุดทำงาน สามารถเลี้ยงระดับอุณหภูมิในห้องได้จึงทำให้ช่วยประหยัดไฟ แตกต่างจากเครื่องปรับอากาศแบบ Fixed Speed หรือ Non – Inverter ที่เมื่อทำความเย็นถึงจุดที่ต้องการแล้ว ระบบจะตัดการทำงานคอมเพรสเซอร์ จนกระทั่งเมื่ออุณหภูมิตกมาถึงระดับที่ต้องทำงานค่อยเริ่มสตาร์ทใหม่เพื่อไต่ระดับอุณหภูมิใหม่อีกครั้ง ทำให้ทุกครั้งที่สตาร์ทการทำงานจะเกิดการกระชากไฟ มีการใช้พลังงานเยอะ ทำให้เกิดการกินไฟนั่นเอง สำหรับเครื่องปรับอากาศ Inverter นั้นมีดีมากกว่าการเลี้ยงระดับอุณหภูมิไปเรื่อยๆ อีกด้วย เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดไฟแล้ว ระบบ Inverter ยังสามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำกว่า แต่แน่นอนว่าราคาก็จะสูงขึ้นมาจากระบบธรรมดานะ
เครื่องปรับอากาศระบบ inverter ที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องประกอบด้วย
- แผงวงจรที่ควบคุมการจ่ายไฟกระแสตรงที่ปรับเปลี่ยนความถี่ของกระแสไฟให้ระบบทำงานอย่างเสถียร
- คอมเพรสเซอร์ กระแสตรง ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงความเร็วรอบในการทำงานของเครื่องปรับอากาศให้สัมพันธ์กับอุนหภูมิของห้อง
- วาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV ที่ย่อมาจาก ELECTRONIC EXPANSION VALVE คอยควบคุมอัตราการไหลและการจ่ายสารทำความเย็นให้ระบบในสภาวะที่เหมาะสม
- มอเตอร์กระแสตรง ที่มีกำลังในการควบคุมความเร็วและเปลี่ยนแปลงความเร็วรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าระบบ Inverter จะเหมาะกับงานทุกประเภท อย่างในสถานที่ๆ อุณหภูมิแกว่งตลอดก็ไม่เหมาะกับระบบ Inverter ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารหรือร้านกาแฟที่มีลูกค้าเปิดประตูเข้า – ออกบ่อยๆ เพราะจะทำให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติ เนื่องจากความเย็นไหลออกทุกครั้งที่เปิด – ปิดประตู เพราะฉะนั้นเครื่องปรับอากาศระบบ Inverter ก็จะเหมาะกับการใช้งานภายในบ้านมากกว่าค่ะ
4.ฟังก์ชั่นการเปิด-ปิด การตั้งเวลา และคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
ในปัจจุบันเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ๆ ก็ได้ปรับปรุงเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นเสริมหลายอย่างเพื่อส่งเสริมการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นอีกปัจจัยนึงที่เราต้องคำนึงถึงเพื่อให้ได้เครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรามากที่สุดและประหยัดพลังงานมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Human Sensor ที่จะคอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของเราเมื่ออยู่ในห้องและเลือกโหมดการทำงาน อุณหภูมิ หรือระดับความเร็วพัดลมให้เหมาะสมกับ จำนวนคนและการทำกิจกรรมต่างๆ ภายในห้อง
ECO Operation & Economy Mode โหมดประหยัดพลังงาน หลีกเลี่ยงการทำให้อากาศภายในห้องเย็นหรือร้อนจนเกินไป เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานมากที่สุด, ระบบเร่งทำความเย็น ที่จะเร่งการทำงานเมื่อเปิดเครื่องให้อุณหภูมิห้องลดลงอย่างรวดเร็ว และลมแรงทำให้เรารู้สึกเย็นสบายขึ้นเมื่อเข้าในห้อง, Auto Off ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องเป็นเวลานาน
Allergen Clear Operation ระบบที่ทำลายแบคทีเรียบน Allergen Filter โดยการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น, Child Lock ระบบป้องกันการกดปุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ (เหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก) หรือโหมดอัจฉริยะต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนการทำงานตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งานแต่ละคน
5.เลือก Compressor ที่ทนต่อสภาพอากาศร้อนของกรุงเทพฯ
ตัว Compressor หรือ เครื่องอัดไอ ถือเป็นหัวใจในการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ เพราะหากขาดส่วนนี้ไปแล้วในระบบปรับอากาศก็คือไม่มีเครื่องอัดน้ำยาแอร์ (หรือสารทำความเย็น) ส่งไปจ่ายส่วนทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ ก็ไม่สามารถปรับอากาศให้เย็นได้ แต่ Compressor เป็นอุปกรณ์ที่จะต้องตั้งอยู่ภายนอกบ้านโดนแดดโดนฝน ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศสักเครื่องก็ไม่ควรที่จะละเลยเจ้าเครื่องนี้ด้วย โดยให้ดูที่คุณภาพของอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตที่มีคุณภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน นอกเหนือจากนั้นก็ต้องรักษาสภาพของตัว Compressor เอาไว้ให้อยู่ในสภาพที่ดีเพื่อให้ระบบการทำความเย็นสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพค่ะ
แม้ว่าตัว Compressor ปัจจุบันจะถูกออกแบบให้เครื่องทำงานเสียงเบาลงมากและถูกตั้งภายนอกบ้านอยู่แล้ว แต่หลายๆ คนก็อาจจะกังวลว่าถ้าติดตั้งตัว Compressor ให้อยู่ใกล้ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นจนเกินไปก็จะทำให้เกิดเสียงดังรบกวน ซึ่งข้อจำกัดก็คือท่อน้ำยาแอร์นั้นไม่ควรยาวเกิน 12 เมตร เพราะยิ่งท่อยาวก็จะทำให้แรงดันน้ำยาลดลงซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำความเย็นก็จะลดลง และควรติดตั้งตัวเครื่องให้ห่างจากกำแพงอย่างน้อย 50 ซม. และไม่มีอะไรมาขวางด้านหน้าในระยะ 1 เมตรด้วย
6.ตำแหน่งและทิศทางที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่ทำให้เย็นเร็วและประหยัดค่าไฟ
สงสัยไหมคะว่าทำไมบางทีเราก็ได้เลือกเฟ้นเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมและได้ Spec ที่ควรจะเป็นแล้ว แต่แอร์ก็ไม่เย็นสมใจสักที อีกปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความเย็นของเครื่องปรับอากาศก็คือ ตำแหน่งที่เราติดตั้งตัวเครื่องอากาศนั่นเองค่ะ โดยจุดที่ควรติดตั้งเครื่องปรับอากาศนั้นควรจะเป็นจุดที่สามารถกระจายความเย็นไปได้ทั่วถึงและอยู่ใกล้กับจุดที่คนจะอยู่ โดยให้ทิศทางลมนั้นถูกพัดไปในบริเวณที่เกิดกิจกรรมขึ้น ไม่ว่าจะนั่ง นอน หรือทำงาน แต่ข้อควรระวังก็คือไม่ควรให้ทิศทางลมนั้นเป่าลงศีรษะเพราะจะทำให้ไม่สบายได้ และไม่ควรติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้หันไปทางประตู (ที่มีการเปิด – ปิดบ่อยอย่างประตูร้านค้า) เพราะจะทำให้ความเย็นไหลออกหมด เครื่องปรับอากาศจะต้องทำงานหนักขึ้นค่าไฟก็ขึ้นแน่นอนค่ะ
อีกอย่างก็คือ เราควรเลี่ยงติดตั้งเครื่องปรับอากาศบนผนังส่วนที่โดนแดดโดยตรง เพราะจะช่วยให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก โดยสามารถพิจารณาจากการใช้งานของเราเองได้ เช่น ให้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องนอนบนผนังฝั่งทิศตะวันออก เพราะผนังฝั่งทิศตะวันตกจะสะสมความร้อนในช่วงบ่ายเอาไว้ และส่วนใหญ่แล้วเราจะเปิดใช้งานเครื่องปรับอากาศในห้องนอนตอนช่วงหัวค่ำเป็นต้นไป
นอกจากนี้การติดตั้งเครื่องปรับอากาศนั้น ไม่ควรอยู่ชิดกับเพดานมากจนเกินไป เพราะระยะด้านบนเป็นระยะที่เครื่องจะดูดอากาศเข้าภายในเครื่องเพื่อปล่อยลมออกทางด้านหน้า และการติดเครื่องปรับอากาศชิดกับเพดานมากจนเกินไป อาจทำให้ช่างแอร์ไม่สามารถล้างเครื่องได้อย่างทั่วถึงด้วย ดังนั้นเราควรดูระยะการติดตั้งของชนิดเครื่องปรับอากาศที่เราจะเลือกใช้ด้วยนะคะว่าควรมีระยะห่างจากฝ้าเพดานเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม สำหรับเครื่องปรับอากาศยอดนิยมที่เราใช้กันทั่วไปในครัวเรือนอย่าง Wall Type นั้นจะมีระยะห่างจากฝ้าเพดานไม่ต่ำกว่า 10 ซม.ค่ะ
7.การติดตั้งท่อต้องมิดชิด ปิดช่องประกอบทั้งหมดเพื่อกันสัตว์ไม่พึงประสงค์
นอกจากจะให้ความสำคัญกับตัวเครื่องปรับอากาศแล้ว การติดตั้งท่อก็มีส่วนสำคัญนะคะ ระบบของเครื่องปรับอากาศถึงจะสามารถทำงานได้อย่างดีสมบูรณ์ นอกจากความยาวของท่อนั้นไม่ควรจะยาวเกิน 12 เมตรแล้ว ช่องประกอบและจุดเชื่อมทุกจุดต้องมีการปิดให้เรียบร้อยมิดชิด ไม่ให้พวกสัตว์ไม่พึงประสงค์อย่าง แมลงสาบ หรือหนู สามารถเข้าไปอาศัยภายในหรือกัดสายไฟได้
8.เลือกใช้น้ำยาเครื่องปรับอากาศ R32 เป็นมิตรต่อชั้นบรรยากาศโลก
ในปัจจุบันนี้เราจะเอาแต่ความเย็นเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องคำนึงถึงการช่วยลดโลกร้อนแบบยั่งยืนด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก (ซึ่งตอนนี้ก็แย่แล้วน้า…ขืนโดนทำลายไปมากกว่านี้หายนะที่แท้ทรูมาเยือนแน่นอน) อย่างน้ำยาเครื่องปรับอากาศที่เราควรเลือกใช้ก็จะเป็นตัว R32 ซึ่งทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกน้อยกว่าน้ำยา R22 และ R140A ค่ะ
9.ลดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สร้างความร้อนภายในห้อง
นอกจากตัวของคนเราเองจะเป็นเครื่องผลิตความร้อนชั้นดีแล้ว (สังเกตได้จากเวลาอยู่ในห้องแอร์อัดกันหลายๆ คนแล้วอากาศมันจะร้อนขึ้นมาเลย) เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น ไมโครเวฟ ทีวี คอมพิวเตอร์ เตารีด ไดร์เป่าผม และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีส่วนที่ทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นและมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในบริเวณที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือบริเวณที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดความร้อนประจำ
10.เลือกเครื่องปรับอากาศจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีบริการหลังการขายที่ดี
เครื่องปรับอากาศนั้นถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน ดังนั้น นอกจากการเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีคุณภาพแล้ว การเลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีบริการหลังการขายที่ดีก็นับว่ามีส่วนสำคัญพอๆ กันเลยค่ะ บางครั้งเราไปเลือกซื้อของมาอย่างดี ยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่า แต่บังเอิญชิ้นที่เราได้มากลับเป็นชิ้นที่มีปัญหาซะนี่ พอจะโทรไปเคลมสินค้าเจ้าหน้าที่ก็บ่ายเบี่ยงหรือติดต่อไม่ได้ ก็ทำให้เกิดความลำบากใจอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ
วันนี้ทางทีมงาน Homenayoo จะขอแนะนำเครื่องปรับอากาศจาก Mitsubishi Heavy Duty ที่อยู่คู่คนไทยมานานถึง 5 ทศวรรษ โดยมีสินค้าหลากหลายมากกว่า 700 ประเภท ครอบคลุมทั้งภาคพื้นดิน, ทะเล, อากาศและอวกาศ มีจุดแข็งที่ความ ทนอึด เปิด 24 ชม. ติดต่อกันได้นาน 5 ปี จ่ายครั้งเดียวทนทานเกินคุ้ม สมชื่อ Heavy Duty เพราะมีมาตรฐานการผลิตสูง พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Inverter 100% ทั้งระบบ ตลอดจนมีตัวแทนจำหน่ายและบริการหลังการขายที่ไว้วางใจได้
ในปี 2019 นี้ทาง Misubishi Heavy Duty ได้เปิดตัว Product ตัวใหม่ออกมา เป็นเครื่องปรับอากาศ Real Inverter 100% ซีรี่ส์ SRK-YW-W แบบ Standard Inverter มีขนาดตั้งแต่ 9,000 – 24,000 BTU/h ซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชั่นครอบคลุมทุกความต้องการการใช้งาน
ทั้งระบบ Jet Flow ลมแรงเย็นเร็วทันใจเพราะออกแบบระบบการจ่ายลมด้วยเทคโนโลยีเดียวกับใบพัดในเครื่องยนต์เจ็ท, ระบบ High Power ทำงานอย่างต่อเนื่องในระบบพลังสูงเป็นเวลา 15 นาทีเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ รวมถึง ระบบ Self Cleaning Operation เป็นฟังก์ชั่นที่ทำให้คอยล์เย็นแห้งเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา โดยพัดลมจะทำงานในรอบต่ำเพื่อเป่าลมไล่ความชื้นออกจากคอยล์เย็นเป็นเวลา 2 ชม. หลังจากปิดเครื่อง, ระบบ 24 Hour ION ฟังก์ชั่นที่ทำให้อากาศสดชื่นเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติด้วยการปล่อยประจุลบตลอด 24 ชม. จากสารทัวมาลีนซึ่งเคลือบไว้ใต้ช่องจ่ายลม และยังใช้เทคโนโลยี Inverter แท้ทั้งระบบ ประกอบด้วย 4 ชิ้นส่วน คือ แผงวงจรอัจฉริยะ PAM, มอเตอร์กระแสตรง, คอมเพรสเซอร์กระแสตรงและวาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV ที่ช่วยรักษาระดับอุณหภูมิให้เย็นสม่ำเสอและช่วยประหยัดไฟมากๆ อีกด้วย สมเป็นเครื่องปรับอากาศที่ เย็นเร็ว ทนทาน ประหยัดไฟ พร้อมปรับสภาพอากาศให้บริสุทธิ์ ของปี 2019
ทั้งนี้ทาง Mitsubishi Heavy Duty ยังกล้ารับประกันสินค้าทุกชิ้นส่วนเป็นระยะเวลาถึง 5 ปีเต็ม เนื่องจากทุกเครื่องที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทย ได้ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพมาตรฐานโลกเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น จึงสามารถมั่นใจได้เลยว่าเครื่องปรับอากาศจาก Mitsubishi Heavy Duty นั้นมีคุณภาพที่เราไว้วางใจได้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น