น่ารักฟรุ้งฟริ้ง! ปลูกเมล่อนขายออนไลน์ สลักลวดลายเก๋ๆ ได้รสชาติเหมือนกับกินที่ญี่ปุ่น

น่ารักฟรุ้งฟริ้ง! ปลูกเมล่อนขายออนไลน์ สลักลวดลายเก๋ๆ ได้รสชาติเหมือนกับกินที่ญี่ปุ่น

การปลูกพืชผักที่มูลค่าสูง สามารถทำได้ด้วยความเอาใจใส่ในเรื่องราวที่ทำก็มักจะประสบความสำเร็จในการทำเกษตร ปัจจุบันมักพบเห็นพืชผักปลอดภัยหลายชนิดที่มีมูลค่าสูงมาปลูกในโรงเรือน ไม่ว่าจะเป็นผักสลัด มะเดื่อฝรั่ง หรือพืชที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบปัจจัยทางธรรมชาติของบ้านเรา เช่น แสง อุณหภูมิ และฝน เป็นต้น

คุณพิเชษฐ และ คุณวันทกานต์ กันทะวงค์ เล่าให้ฟังว่า “จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ รุ่นที่ 64 ทางด้านอารักขาพืช ได้เรียนรู้ถึงพิษภัยของสารป้องกันโรคพืช และสารกำจัดแมลง ที่ร่างกายดูดซึมเข้าไประหว่างทำการเกษตรแบบใช้สารเคมี จึงคิดที่จะเลือกใช้วิธีธรรมชาติในการควบคุมศัตรูพืชหรือที่เรียกว่า Bio-control เนื่องจากไม่มีผลต่อเกษตรกรเอง และไม่มีผลตกค้างต่อผู้บริโภค”

โอโซนฟาร์ม ได้ทดลองปลูกเมล่อนครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยการปลูกลงดินแบบกลางแจ้ง จำนวนปลูกเริ่มแรก 800 ต้น แต่ปรากฏว่าสามารถเก็บผลผลิตได้ไม่ถึง 400 ต้น และต่อมาได้คัดเกรดผลที่มีตาข่ายดี ผิวสีสวยงามได้เพียงจำนวนน้อยแค่ร้อยกว่าลูกเท่านั้น เนื่องจากการปลูกแบบลงดินนั้นมีโรคพืชที่ติดมากับดินจำนวนมาก

อาทิ โรครากเน่า เหี่ยวเขียว จากเชื้อ Fusarium sp. Pythium sp. Sclerotium sp. phytopthora sp. Rhizoctonia sp. และ Ralstoniasolanacearun ซึ่งมักระบาดในฤดูฝน ถึงแม้ว่าทางฟาร์มจะใช้เชื้อจุลินทรีย์ ไตรโคเดอร์ม่า (Trichoderma sp.) รดลงดิน แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ทุกเชื้อ

เพราะไตรโคเดอร์ม่าใช้ได้ผลเฉพาะเชื้อโรค phytopthora sp. เท่านั้น โดยไม่สามารถควบคุมเชื้อโรคที่มีเชื้อสาเหตุอื่นได้เลย จึงสรุปว่า การปลูกแบบลงดินกลางแจ้งนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์การปลูกเมล่อนแบบไร้สารได้

ต่อมาทางโอโซนฟาร์มจึงทดลองปลูกเมล่อนเป็นแบบไฮโดรโปนิกส์เพื่อที่จะตัดปัจจัยเรื่องเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุในดินโดยทดลองปลูกในระบบDRFT(Dynamic Root Floating Technique) คือให้รากของเมล่อนแช่อยู่ในน้ำที่มีสารละลายโดยตรง เมล่อนเจริญเติบโตได้ดีมากในช่วงแรกๆ จนกระทั่งมีผล แต่มีปัญหาก่อนเก็บเกี่ยวคือ

ผลเมล่อนจะแตกก่อนถึงอายุเก็บเกี่ยว อาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่รากของเมล่อนแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลา จึงดูดน้ำมากเกินไป ทำให้ผลแตกก่อนอายุ และอีกปัญหาที่พบในการปลูกระบบไฮโดรโปนิกส์คือ เมล่อนรสชาติไม่หวาน จึงคิดแก้ปัญหาใหม่

โดยการใช้ทรายและกาบมะพร้าวสับเป็นวัสดุปลูก แต่ยังใช้ปุ๋ยในระบบไฮโดรโปนิกส์ ผลปรากฏว่าได้รสชาติที่ดีขึ้น จึงเป็นการตัดปัญหาโรคพืชทางดินอย่างสมบูรณ์แบบ

ประสบการณ์ สอนให้มั่นใจ

ประสบการณ์ที่ได้รับตลอดเวลาที่ปลูกเมล่อนด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง และจากการศึกษาจากแหล่งอื่นบ้าง ทำให้มีความมั่นใจในการผลิตเมล่อนที่ดีและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมุ่งมั่นจะผลิตให้ได้คุณภาพระดับเดียวกับที่เป็นเมล่อนนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น

จึงตัดสินใจปรับที่นา จำนวน 2 ไร่ ณ บ้านแม่คำสบเปิน ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งบริเวณโดยรอบเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของอำเภอแม่จัน เพื่อปลูกเมล่อน และตั้งชื่อฟาร์มตามชื่อลูกสาว คือ น้องโอโซน จนกลายมาเป็น “โอโซนฟาร์ม”

จากเริ่มแรกโอโซนฟาร์มได้จัดสรรพื้นที่ 2 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการแบ่งพื้นที่ จำนวน 200 ตารางวา จัดทำเป็นแหล่งน้ำเพื่อใช้ในฤดูหนาวและฤดูร้อน ส่วนพื้นที่ที่เหลือ 1 ไร่ 2 งาน ปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหมด 7 หลัง หลังคาโค้งมุงพลาสติกใสป้องกันแสงยูวี รอบข้างใช้มุ้งสีขาวกันยูวี เช่นกัน

โรงเรือนกว้าง 5 เมตร ยาว 20 เมตร แบ่งเป็นโรงเรือนปลูกเมล่อน 6 หลัง และปลูกสตรอเบอรี่ จำนวน 1 หลัง บริเวณพื้นที่ของโรงเรือนใช้ทรายหยาบปูทางเดินทั้งหมด นอกจากลดปัญหาด้านวัชพืชแล้ว ยังตัดวงจรของโรคที่มีอยู่ในดินได้อย่างดี

ปลูกเมล่อน ในถุงขาว

หลังจากเพาะเมล็ดเมล่อนในถาดเพาะกล้า ใช้เวลา 8 วัน ในหน้าร้อน และ 10 วัน ในหน้าหนาว ก็จะย้ายกล้าเมล่อนมาลงถุง เนื่องจากโอโซนฟาร์มเน้นการปลูกเมล่อนที่ปลอดภัยไร้สารพิษ จึงใช้วัสดุปลอดเชื้อเป็นวัสดุปลูก โดยมีส่วนผสมระหว่างทรายกับกาบมะพร้าวสับ ในอัตรา 1 ต่อ 1 ใส่ในถุงขาว 8 คูณ 16 นิ้ว 1 ต้น ต่อ 1 ถุง

1 โรงเรือน สามารถปลูกได้ 240 ต้น โดยวางระยะถุงห่าง 50 คูณ 50 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้ใบของเมล่อนแน่นทึบไป เพราะจะทำให้การสังเคราะห์แสงไม่เต็มที่ นอกจากนี้จะเกิดปัญหาโรคราน้ำค้างได้ง่ายอีกด้วย

เมื่อเมล่อนออกดอกก็จะผสมเกสรโดยคัดเลือกดอกที่สมบูรณ์สุดเอาเกสรดอกตัวผู้มาเคาะใส่ดอกตัวเมียสังเกตดอกตัวเมียจะเห็นก้านต่อจากขั้วดอกจะอวบใหญ่ซึ่งส่วนนี้จะพัฒนาเป็นผลส่วนดอกตัวผู้จะไม่มีส่วนนี้การผสมจะใช้ดอกตัวผู้ 1 ดอก ต่อดอกตัวเมีย 1 ดอก ผสมไว้จำนวน 3 ดอก

หลังจากนั้น 7 วัน จะเลือกเฉพาะผลที่สมบูรณ์ 1 ผล ไว้ ที่เหลือจะต้องตัดทิ้ง หลังจากนั้นก็จะตัดยอดทิ้งโดยนับใบขึ้นจากใบแรก ประมาณใบที่ 23-25 ส่วนที่เป็นยอดแขนงให้ตัดออกทั้งหมดเพื่อไม่ให้แย่งอาหารกัน

การควบคุมศัตรูพืช โอโซนฟาร์มใช้โรงเรือนและมุ้งกันแมลงควบคุมแมลงศัตรูพืชที่มีขนาดใหญ่ แต่สำหรับศัตรูพืชที่มีขนาดเล็ก เช่น เพลี้ยไฟ ก็จะเลือกใช้ชีวภัณฑ์กำจัดแมลง เชื้อราบิวเวอเรีย (Beauveriabassiasna) สำหรับโรคพืช เช่น โรคราน้ำค้าง และโรคใบไหม้ จะใช้เชื้อราไตรโคเดอร์ม่า (Trichoderma sp.) ในการควบคุมโรคดังกล่าว

สำหรับวิธีการให้ปุ๋ยนั้น ทางฟาร์มได้ใช้ปุ๋ยน้ำไฮโดรโปนิกส์ด้วยสูตรที่ผสมขึ้นเอง ที่คิดขึ้นมาใช้กับเมล่อนโดยเฉพาะ โดยจะให้ทางระบบน้ำหยดทุกวัน ช่วงแรกให้วันละ 1 ซีซี ต่อต้น ต่อวัน หลังจากนั้นช่วงผสมเกสรจะให้อัตรา 2 ซีซี ต่อต้น ต่อวัน และจะงดการให้ปุ๋ยในช่วง 10 วัน ก่อนตัดผลผลิต เพื่อไม่ให้ปุ๋ยตกค้างในผลผลิต

ส่วนพันธุ์เมล่อนที่ใช้ปลูก ทางฟาร์มนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่จะเป็นโค้ดแทน ทางฟาร์มจึงตั้งชื่อตามลักษณะ พันธุ์ที่ใช้ปลูกในฟาร์มจะมี 3 พันธุ์

คือ กรีนสวีท โอโซนพรีเมี่ยม และโอโซนนัมเบอร์วัน

กรีนสวีท จะเป็นเมล่อนเนื้อเขียว รสชาติหวาน หอม ไม่มีกลิ่นฉุนของแตง วัดความหวานได้มากสุด 17-18 บริกซ์ แต่นิยมตัดที่ความหวาน 15 บริกซ์ ผลกลมค่อนข้างรี ตาข่ายที่ผิวจะละเอียด มีความกรอบที่สุด อายุผล 40 วัน นับแต่ผสมเกสร 

โอโซนพรีเมี่ยม เป็นเมล่อนเนื้อส้ม มีกลิ่นหอมมาก เนื้อแน่นมาก เปลือกบาง หวานน้อยกว่ากรีนสวีทเล็กน้อย เนื้อกรอบ อายุผล 50 วัน นับแต่ผสมเกสร

โอโซนนัมเบอร์วัน เป็นเมล่อนเนื้อสีส้ม กลิ่นหอม เนื้อแน่น เปลือกหนา หวานน้อยกว่าโอโซนพรีเมี่ยมเล็กน้อย ทนทานในการขนส่งได้ดี อายุผล 50 วัน นับแต่ผสมเกสร

ความแตกต่างของเมล่อน เกรดพรีเมี่ยม กับ เกรดเอ

เมล่อนที่ปลูกทั้ง 3 พันธุ์ จะต้องมีขนาดน้ำหนักไม่น้อยกว่า 1.5 กิโลกรัม แต่ไม่มากกว่า 2.5 กิโลกรัม เพราะช่วงน้ำหนักขนาดนี้จะเป็นช่วงที่เมล่อนมีเนื้อแน่นและอร่อยที่สุด ส่วนเกรดพรีเมี่ยมจะมีผลที่สวยงามตามลักษณะประจำพันธุ์ ลายตาข่ายชัดเจน ขั้วสมบูรณ์ทั้ง 2 ด้าน มีลักษณะโค้งงอเล็กน้อย ซึ่งผลที่เป็นเกรดพรีเมี่ยมจะมีไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ ของผลทั้งหมด

ด้านการผลิตที่นอกเหนือจะเน้นเรื่องคุณภาพแล้ว ยังเน้นเรื่องความปลอดภัยอย่างที่สุด ในมาตรฐานที่ว่าเมล่อนทุกลูกในฟาร์มจะต้องปลอดภัยต่อสารพิษและสะอาดถูกสุขอนามัยอย่างแท้จริง โดยทางฟาร์มจะส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย อย่างต่อเนื่อง

จนได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตร โดยผลวิเคราะห์แล้วไม่พบสารตกค้างใดๆ ในผลผลิตเลย จึงทำให้เมล่อนของโอโซนฟาร์มเป็นเมล่อนรสชาติดีเยี่ยม เพราะเรียกได้ว่า กลิ่นและรสชาติดีเยี่ยม จนได้รับคำชมจากลูกค้าที่ซื้อไปกินว่า “กินเมล่อนของโอโซนฟาร์ม รสชาติเหมือนกับกินที่ญี่ปุ่น”

ที่มาของ เมล่อน ออนไลน์

โอโซนฟาร์ม ได้ทำการตลาดในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก คือ Facebook ในนามเพจโอโซนลิงค์ http://www.facebook.com/ozonefarm โดยจะรับออเดอร์ก่อนวันตัด และทยอยส่งให้ลูกค้าทางขนส่ง นิ่มซี่เส็ง โดยขายเมล่อนเกรดพรีเมี่ยม ในราคา 250 บาท ต่อกิโลกรัม และเกรดเอ ในราคา 150 บาท ต่อกิโลกรัม โดยเป็นแพ็กละ 2 ลูก ในราคาแพ็กละ 800 บาท และแพ็ก 4 ลูก แพ็กละ 1,500 บาท ส่งฟรีให้ลูกค้าทั่วประเทศ

โดยจะเปิดให้จองล่วงหน้า ประมาณ 2 วัน ผลผลิตคราวละ 250-500 ลูก เท่านั้น ลูกค้าที่ส่งให้ไกลสุดอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ส่วนในจังหวัดเชียงรายเองทางฟาร์มจะส่งผลผลิตให้โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย และ ร้าน เดอะราษี อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยเน้นที่เกรดพรีเมี่ยมเป็นหลัก

สนใจติดต่อได้ทางเฟซบุ๊ก หรือ คุณพิเชษฐ กันทะวงค์ โทร. (089) 201-6654 คุณวันทกานต์ กันทะวงค์ โทร. (081) 434-4238

ที่มา : นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน www.technologychaoban.com